ตอนเด็กๆ ในวัยประมาณเริ่มจำความได้ เคยตั้งคำถามกับตัวเองกันบ้างไหมครับว่าเราเกิดมาเพราะอะไร?
ผมไม่รู้ว่าตอนเด็กๆคนอื่นจะคิดแบบผมกันบ้างหรือเปล่า?
...แต่ผมคิด...
เวลามองกระจกมักจะถามตัวเองทุกครั้งว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร? เราเป็นใคร? และเราจะอยากจะเป็นอะไรในชีวิตนี้?
คำถามมันดูยากแต่บอกได้เลยว่าเป็นคำถามที่มาจากเด็ก 3 ขวบจริงๆ (ก็ผมนี่แหละ) ตอนเด็กๆเคยอยากเป็นนักร้อง,นักบอล, นักบาส,นักปิงปอง และ ฯลฯ เปลี่ยนไปตลอดตามความสนใจในวัยเด็ก แต่ ผมก็ยังไม่เลิกตั้งคำถามเหล่านั้น
จนอยู่มาวันหนึ่งผมฝัน...
ในความฝันของผมมีห้องๆหนึ่ง เหมือนหอคัมภีร์ที่ใหญ่โต เป็นชั้นคัมภีร์สูงเสียจนผมไม่รู้ว่ามันจะสุดที่ตรงไหน ในห้องนั้นมีเทวดาองค์หนึ่ง คอยคุมหอแห่งนี้อยู่ ผมเปิดคัมภีร์ออกหนึ่งม้วน มันทอดออกไปไกลมากในระดับหนึ่ง ในแผ่นนั้นอ่านออกก็รู้เลยว่าเป็นเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง แต่ในแผ่นคัมภีร์นั้นบ้างก็มีเรื่องราวเขียนไว้ บ้างก็เว้นไว้เหมือนมีไว้ให้เติมแต่งเรื่องราว ผมถามกับเทวดาองค์นั้นว่า ทำไมท่านถึงเว้นว่างไว้ละ? เทวดาองค์นั้นตอบว่า "คนเรามีเรื่องราวต่างๆที่ฟ้ากำหนดมาแล้วในชีวิต ว่าจะต้องพานพบเจอกับอะไรสิ่งใดบ้าง แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคนที่เคยทำไว้ เรื่องราวที่เว้นว่างไว้นั้น คือเรื่องที่นอกเหนือจากที่เป็นกรรมเก่าอันเป็นเนื้อหาหลัก "
ผมถามท่านออกไปทันที
"ใช่...ชีวิตของคนแต่ละคนจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่วก็เกิดขึ้นจากส่วนที่เว้นว่างไว้นี้แหละ"
ผมเข้าใจในคำตอบของท่าน แม้ผมจะมีอายุเพียง 5 ขวบในช่วงเวลาที่ฝัน แต่ผมเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย และเข้าใจถึงเรื่องเวรกรรมจากนิทาน ที่พ่อและแม่ชอบเปิดเทปให้ฟังก่อนนอน
ม้วนคัมภีร์ถูกม้วนพับ และลอยเก็บเข้าไปที่เดิม ความฝันไม่ได้มีเพียงเท่านั้นแต่ผมจำได้เพียงเท่านี้
มันอาจจะเป็นความฝันที่ไร้สาระของเด็กคนหนึ่ง แต่ว่ามันทำให้ผมเข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่า
" คนเราเกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง และโชคชะตาได้กำหนดเราเอาไว้บางส่วน
แต่ส่วนใหญ่ของที่เหลือคือสิ่งที่เราต้องเติมเข้าไปเอง "
แต่คำถามที่ยังไม่กระจ่างที่สุดนั้นคือ
"สุดท้ายแล้วเราเกิดมาเพื่ออะไรกันหละ?"
ตอน 6 ขวบ ผมต้องข้ามสะพานลอยหน้า ร.ร.ที่ทำงานแม่ทุกวันเพื่อกลับรถแท๊กซี่ไปยังบ้านดอนเมือง มีอยู่มาวันหนึ่ง มีชายชราหอบย่ามเก่าๆมาพร้อมกับฉิ่งเล็กๆเพียงหนึ่งอัน เสียงฉิ่งกังวาลพอให้เศร้าสร้อยตามจังหวะที่ชายชราตีผมเป็นคนขี้สงสารคนมาตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะตอนเด็กที่ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา
วันแรกผมเดินผ่านไปกับแม่ผมรู้สึกสงสาร และเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าเหตุใดเขาถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ เขาออกมาตามหาใครหรือเปล่า? แล้วพวกลูกๆเขาไปไหนกัน? แล้วทำไมไม่มีใครคอยช่วยเหลือเขาเลยหรอ?
ผมถามแม่ และแม่ก็ตอบอย่างโลกสวย (เพราะตอนนั้นผมยังเด็กและการปลูกฝังสิ่งที่ดีเป็นเรื่องที่ดีกว่ารู้เรื่องราวร้ายๆก่อน)
วันที่สองผมผ่านไปอีกครั้ง ผมนำเศษเหรียญที่ผมเหลือจากค่าขนมในวันนั้นให้ชายชราทั้งหมด ก็คงประมาณ 30 บาทละมั้ง
(พ่อให้วันละ 50 แต่กินไม่เคยหมดเหลือเก็บตลอด)
ผมขึ้นแท๊กซี่และคุยกับแม่ว่าพรุ่งนี้เราหาข้าวให้เขากินเถอะ เขาต้องหิวมากแน่ๆเลย
ผมตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ และแม่ก็เห็นด้วย
และในวันต่อมาแม่ซื้อข้าวผัดเอาไว้สองกล่อง ผมหิ้วถุงเพื่อจะนำไปให้
ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคน ผมคาดหวังว่าชายชราจะยังอยู่ตรงนั้น
แต่ทว่า...
เขาหายไปแล้ว...
ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ว่าชายชราไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว...
มือผมเริ่มสั่น ข้าวกล่องในมือแทบจะถือไม่อยุ่
คำถามผมเกิดขึ้นมากมาย ผมเริ่มร้องไห้และเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเขาได้ในมื้อนี้
คำถามผมเกิดขึ้นมากมายเสียยิ่งกว่าวันแรก...แม่ปลอบผมไม่ให้ผมร้องไห้...กว่าผมจะหยุดร้องได้ก็เกือบจะถึงบ้าน
ผมเริ่มตั้งคำถามต่อโลกว่าทำไมถึงยังมีคนอย่างชายชราคนนี้มานั่งขอทาน
จะไม่มีวิธีใดบ้างเลยหรอที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุข เหมือนๆกัน
ไม่ต้องมาลำบากลำบนอะไรมากมาย ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
มีชีวิตที่สุขสบาย บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีโจร ไม่มีคอรัปชั่น
"มันจะไม่มีเลยหรือ?"
ผมเริ่มมีความฝันใหม่ จากบทเรียนครั้งนั้นในชีวิตความฝันที่แม้อาจจะทำให้คนทุกคนเป็นอย่างที่ฝันไว้ไม่ได้
แต่ขอให้คนส่วนหนี่ง หรือเมืองๆหนึ่ง เป็นอย่างที่ผมฝันก็ยังดี...
ความฝันนี้เองที่ทำให้ผมเข้าใจ...ว่าผมเกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง
บางอย่าง...ที่ทำให้ใครหลายคน มีความสุข.
สนทยา 52