วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

แด่ความฝันอันสูงสุด


ตอนเด็กๆ ในวัยประมาณเริ่มจำความได้ เคยตั้งคำถามกับตัวเองกันบ้างไหมครับว่าเราเกิดมาเพราะอะไร?
ผมไม่รู้ว่าตอนเด็กๆคนอื่นจะคิดแบบผมกันบ้างหรือเปล่า?
...แต่ผมคิด...
เวลามองกระจกมักจะถามตัวเองทุกครั้งว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร? เราเป็นใคร? และเราจะอยากจะเป็นอะไรในชีวิตนี้? 
คำถามมันดูยากแต่บอกได้เลยว่าเป็นคำถามที่มาจากเด็ก 3 ขวบจริงๆ (ก็ผมนี่แหละ) ตอนเด็กๆเคยอยากเป็นนักร้อง,นักบอล, นักบาส,นักปิงปอง และ ฯลฯ เปลี่ยนไปตลอดตามความสนใจในวัยเด็ก แต่ ผมก็ยังไม่เลิกตั้งคำถามเหล่านั้น

จนอยู่มาวันหนึ่งผมฝัน...

          ในความฝันของผมมีห้องๆหนึ่ง เหมือนหอคัมภีร์ที่ใหญ่โต เป็นชั้นคัมภีร์สูงเสียจนผมไม่รู้ว่ามันจะสุดที่ตรงไหน ในห้องนั้นมีเทวดาองค์หนึ่ง คอยคุมหอแห่งนี้อยู่ ผมเปิดคัมภีร์ออกหนึ่งม้วน มันทอดออกไปไกลมากในระดับหนึ่ง ในแผ่นนั้นอ่านออกก็รู้เลยว่าเป็นเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง แต่ในแผ่นคัมภีร์นั้นบ้างก็มีเรื่องราวเขียนไว้ บ้างก็เว้นไว้เหมือนมีไว้ให้เติมแต่งเรื่องราว ผมถามกับเทวดาองค์นั้นว่า ทำไมท่านถึงเว้นว่างไว้ละ? เทวดาองค์นั้นตอบว่า

"คนเรามีเรื่องราวต่างๆที่ฟ้ากำหนดมาแล้วในชีวิต ว่าจะต้องพานพบเจอกับอะไรสิ่งใดบ้าง แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคนที่เคยทำไว้ เรื่องราวที่เว้นว่างไว้นั้น คือเรื่องที่นอกเหนือจากที่เป็นกรรมเก่าอันเป็นเนื้อหาหลัก "
"ถ้าอย่างนั้นคนเราก็สามารถเขียนเรื่อราวของตัวเองที่นอกเหนือจากที่กำหนดมาได้ใช่ไหมครับ?"
ผมถามท่านออกไปทันที
"ใช่...ชีวิตของคนแต่ละคนจะทำกรรมดีหรือกรรมชั่วก็เกิดขึ้นจากส่วนที่เว้นว่างไว้นี้แหละ"
ผมเข้าใจในคำตอบของท่าน แม้ผมจะมีอายุเพียง 5 ขวบในช่วงเวลาที่ฝัน แต่ผมเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย และเข้าใจถึงเรื่องเวรกรรมจากนิทาน ที่พ่อและแม่ชอบเปิดเทปให้ฟังก่อนนอน
         ม้วนคัมภีร์ถูกม้วนพับ และลอยเก็บเข้าไปที่เดิม ความฝันไม่ได้มีเพียงเท่านั้นแต่ผมจำได้เพียงเท่านี้
มันอาจจะเป็นความฝันที่ไร้สาระของเด็กคนหนึ่ง แต่ว่ามันทำให้ผมเข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่า

" คนเราเกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง และโชคชะตาได้กำหนดเราเอาไว้บางส่วน 
แต่ส่วนใหญ่ของที่เหลือคือสิ่งที่เราต้องเติมเข้าไปเอง "

ทุกวันนี้ผมจึงมองเรื่องราวต่างๆว่าบางเรื่องมันเป็นฟ้าลิขิต และบางเรื่องคือสิ่งที่เราทำขึ้นมาเอง
แต่คำถามที่ยังไม่กระจ่างที่สุดนั้นคือ

"สุดท้ายแล้วเราเกิดมาเพื่ออะไรกันหละ?"

          ตอน 6 ขวบ ผมต้องข้ามสะพานลอยหน้า ร.ร.ที่ทำงานแม่ทุกวันเพื่อกลับรถแท๊กซี่ไปยังบ้านดอนเมือง มีอยู่มาวันหนึ่ง มีชายชราหอบย่ามเก่าๆมาพร้อมกับฉิ่งเล็กๆเพียงหนึ่งอัน เสียงฉิ่งกังวาลพอให้เศร้าสร้อยตามจังหวะที่ชายชราตี
ผมเป็นคนขี้สงสารคนมาตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะตอนเด็กที่ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา
วันแรกผมเดินผ่านไปกับแม่ผมรู้สึกสงสาร และเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าเหตุใดเขาถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ เขาออกมาตามหาใครหรือเปล่า? แล้วพวกลูกๆเขาไปไหนกัน? แล้วทำไมไม่มีใครคอยช่วยเหลือเขาเลยหรอ?
ผมถามแม่ และแม่ก็ตอบอย่างโลกสวย (เพราะตอนนั้นผมยังเด็กและการปลูกฝังสิ่งที่ดีเป็นเรื่องที่ดีกว่ารู้เรื่องราวร้ายๆก่อน)
วันที่สองผมผ่านไปอีกครั้ง ผมนำเศษเหรียญที่ผมเหลือจากค่าขนมในวันนั้นให้ชายชราทั้งหมด ก็คงประมาณ 30 บาทละมั้ง
(พ่อให้วันละ 50 แต่กินไม่เคยหมดเหลือเก็บตลอด)
ผมขึ้นแท๊กซี่และคุยกับแม่ว่าพรุ่งนี้เราหาข้าวให้เขากินเถอะ เขาต้องหิวมากแน่ๆเลย
ผมตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ และแม่ก็เห็นด้วย
และในวันต่อมาแม่ซื้อข้าวผัดเอาไว้สองกล่อง ผมหิ้วถุงเพื่อจะนำไปให้
ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคน ผมคาดหวังว่าชายชราจะยังอยู่ตรงนั้น

แต่ทว่า...
เขาหายไปแล้ว...
ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ว่าชายชราไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว...

มือผมเริ่มสั่น ข้าวกล่องในมือแทบจะถือไม่อยุ่
คำถามผมเกิดขึ้นมากมาย ผมเริ่มร้องไห้และเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเขาได้ในมื้อนี้
คำถามผมเกิดขึ้นมากมายเสียยิ่งกว่าวันแรก...แม่ปลอบผมไม่ให้ผมร้องไห้...กว่าผมจะหยุดร้องได้ก็เกือบจะถึงบ้าน

         ผมเริ่มตั้งคำถามต่อโลกว่าทำไมถึงยังมีคนอย่างชายชราคนนี้มานั่งขอทาน
จะไม่มีวิธีใดบ้างเลยหรอที่จะทำให้ชีวิตของทุกคนมีความสุข เหมือนๆกัน
ไม่ต้องมาลำบากลำบนอะไรมากมาย ไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
มีชีวิตที่สุขสบาย บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีโจร ไม่มีคอรัปชั่น

"มันจะไม่มีเลยหรือ?"
ผมเริ่มมีความฝันใหม่ จากบทเรียนครั้งนั้นในชีวิต
ความฝันที่แม้อาจจะทำให้คนทุกคนเป็นอย่างที่ฝันไว้ไม่ได้
แต่ขอให้คนส่วนหนี่ง หรือเมืองๆหนึ่ง เป็นอย่างที่ผมฝันก็ยังดี...

ความฝันนี้เองที่ทำให้ผมเข้าใจ...ว่าผมเกิดมาเพื่ออะไรบางอย่าง
บางอย่าง...ที่ทำให้ใครหลายคน มีความสุข.


สนทยา 52


วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

ชฎาบนบ่า




ภาระหน้าที่นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...
             บอกตรงๆว่า ไม่เคยคิดที่จะมาเป็น ผู้ช่วยผู้บังคับหมวด กองร้อยที่ 5 มาก่อน แต่เมื่อมาสัมผัสและได้มาอยู่กับนักเรียนอบรม บอกเลยว่าความคิดต่างๆก็ได้เปลี่ยนไป งานของฝ่ายปกครอง 2 คือ "งานสร้างคนอย่างแท้จริง" ไม่ได้สบายเหมือนอย่างที่ใครคนอื่นเขาคิด  การปกครองก็ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ เพราะผู้ใต้บังคับบัญชามีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่มากกว่าเรา
            ตั้งแต่ได้เป็นทำการแทนครั้งแรก ก็ทุ่มเทกับนักเรียนตลอด ถึงกับไม่กลับกองร้อย นอนอยู่ห้องทำงานที่กองร้อยที่ 5 คอยเดินตรวจตรายามค่ำคืน นอนดึกตื่นเช้า นักเรียนมีปัญหาตอนกลางคืน ก็มาหาได้ตลอด ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานเพราะที่คุมอยู่ไม่ใช่น้องที่พูดหรือสั่งอะไรก็ทำ ต้องทันคน ทันความคิด ของคนกว่า 200 คน ในแต่ละรุ่น ต้องคอยดูสถานการณ์ อารมณ์ และความรู้สึกทั้งส่วนรวมและส่วนตัวของแต่ละคน เพื่อการปกครองจะได้ไม่มีปัญหา มันเป็นโจทย์ที่ยาก แต่เมื่ออยู่ไปเรากลับรักในสิ่งที่ทำ เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็มีความสุข เมื่อเห็นนักเรียนที่ได้รับการอบรม ได้รับแนวคิด การฝึก การสอนต่างๆที่เรามีส่วนช่วยในการปลูกฝัง มาวันนี้ได้เป็นผู้ช่วยผู้บังคับหมวดเต็มตัวแล้ว ก็จะขอเต็มที่ไปกับมัน สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ท้อ แม้ว่าจะมีเรื่องราวหลายๆอย่างเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของชีวิตที่ต้องผ่านไปให้ได้...ก็เท่านั้นเอง.

นักเรียนคือประเด็นสำคัญ คือภาระหน้าที่ของเรา
ที่จะนำพาเขาจบเป็นนายตำรวจที่ดี มีคุณภาพแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป



สนทยา 52 

ผู้รักนักเรียนอบรมมาก