วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึก พงส. วันที่ 1 : รถชน บินเดี่ยว

วันนี้ได้ฝึกงานเป็น ณ ที่โรงพักแห่งหนึ่งใกล้กรุงพระนครศรีอยุธยา แปลกๆนิดหน่อย ที่ตัวเองย้ายการทำงานมาจากบางซื่อ มาอยู่โรงพักเงียบๆ ที่วันๆหนึ่งแทบไม่มีอะไร ผิดกับบางซื่อ ที่มีอะไรให้ทำทั้งวัน ทั้งเรื่องที่เป็นคดีและไม่เป็นคดี แต่มาวันนี้...

...เงียบมาก...

......เงียบเกินไป.....

.........ให้ตายเถอะ!.........

การฝึกครั้งนี้เป็นการฝึกครั้งที่ 2 หลังจากที่ผ่านการฝึกครั้งแรกในขณะที่เป็นนักเรียน ความรู้สึกมันก็แปลกดีนะ รู้สึกดาวบนบ่า มันหนักกว่า ชฎาขึ้นเยอะเลย...

สงสัยเพราะชฎาเป็นสังกะสี...

ผมโชคดีมากที่ได้พี่เลี้ยงที่ดีและเก่งคนหนึ่งแกสอนทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และมองขาดในคดีทุกอย่าง แกให้นโยบายกับผมว่า 5 เดือนนี้ ผมจะต้องเป็น พงส. ที่ไม่กลัวงาน และทำคดีได้ทุกคดี! 

มาวันนี้แกเลยให้ผมนั่งเข้าเวรคนเดียว...

ซักก่อนเที่ยง ลูกค้ารายแรกก็ได้เดินเข้ามาถึง 

"หมวดคะ ที่ร้านเฮีย...โดนคนร้ายงัดเมื่อคืนคะ"

ผมหันไปถามพี่พงส.ท่านอื่นที่เข้ามานั่งทำงานอยู่ในห้องเป็นกำลังใจร้อยเวรดาวเดี่ยว

"ไม่ยากหรอกไอ้น้อง ก็ออกไปตรวจที่เกิดเหตุซิ มาไปเอาสมุดตรวจที่เกิดเหตุมา"

ผมให้พี่พ่อบ้านประจำโรงพักเป็นคนจัดหาให้ สมุดเล่มแดงหนาๆ ที่มีหน้าหลัง 2 ฝั่งแยกเป็นคดีอาญา และคดีจราจร ก็ได้มาอยู่ในมือผม

"ไอ้น้อง งานตรวจที่เกิดเหตุ เป็นงานที่ต้อง Take Action ไปตรวจไปดู ว่ามีอะไรที่พอเป็นพยานหลักฐานได้บ้าง บางครั้งผู้เสียหายเขาไม่ติดใจหรือไม่หวังกับสิ่งที่เสียไปหรอก แต่เขาแจ้งเพื่อให้เรารับรู้และดำเนินการ เราก็ทำหน้าที่ของเราที่ทำได้ ถ้าพี่เข้าปกติพี่มีถุงมือส่วนตัวไว้หยิบจับวัตถุพยานเลยนะ"

พี่คนเดิมสอนผมมาแบบนั้น ถึงแม้ว่าานที่บางซื่อจะเยอะ แต่ผมไม่เคยออกไปตรวจที่เกิดเหตุคดีลักทรัพย์เลยซักครั้ง เพราะว่าส่วนใหญ่ เป็นคดีขโมยลักบัตรเครดิต หรือลักบัตรเอทีเอ็ม ไปกดเสียมากกว่า ทำให้ผมไม่เคยออกตรวจที่เกิดเหตุงัดบ้านงัดร้านเสียที

ผมนั่งรถออกมากับพี่เสมียนเวรคดี เราขับรถของสาย ป. ไปเพราะรถของร้อยเวร เอาไปซ่อมอยู่ ช่วงนี้ถ้าใครมีเหตุรถชน ก็ต้องอาศัยรถตัวเอง หรือ พึ่งบุยรถของสายงานอื่นแบบที่ผมทำอยู่

ผมเข้าไปถึงที่เกิดเหตุสอบถามเบื้องต้นและทราบว่าที่เกิดเหตุนั้นถูกทำลายเสียแล้ว ถูกทำลายในที่นี้ไม่ใช่คนร้ายทำร้ายนะ... แต่เป็นคนเจ้าของนี่แหละ เพราะการเข้าที่เกิดเหตุที่ถูกรอยมือคนจับนู่นจับนี่ไปเรื่อย เดินไปเดิมาทั่วห้อง แม่กุญแจที่ถูกงัดก็เอาไปโยนทิ้งโดยลูกน้อง แบบนี้แหละ 

ที่เกิดเหตุเสียหายแล้ว

ผมไม่ได้อะไรเลยจากคดีนี้ ได้เพียงแต่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้น และประสานขอดูกล้องกับบ้านข้างๆ ซึ่งกล้องก็ถูกแหงนโดยคนร้ายเช่นกัน 

ผมกลับมาและได้รับบทเรียนอะไรหลายอย่างในครั้งนี้

1.ถ้าพกถุงมือ ไฟฉาย กับ แบลคไลท์ ก็คงจะดี อาจจะหาลายนิ้วมือในจุดที่เราคิดว่าน่าจะมี แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ก็ได้ 

2.ให้เวลากับที่เกิดเหตุน้อยเกินไป ตรวจไม่ละเอียด ไม่รอบคอบ ยังถามไม่ครบถ้วน
.
.
.
.
.
.

ผมกลับมานั่งตบยุงอีกครั้ง 

ทั้งวันนี่มันไม่มีคดีอะไรเลยจริงๆ จนกระทั่งเลยไปถึงกลางคืน ถึงแม้ว่าผมจะเข้าเวร 24 ชั่วโมง แต่คนบ้าที่ไหนจะไปแหกขี้ตา 24 ชั่วโมงเล่า พัก ซิครับพัก มีคดีค่อยว่ากัน พอ 4 ทุ่ม พี่ผมจะพาไปกินข้าวข้างนอก ผมเปลี่ยนชุดออกไปกินข้าวด้วยความสบายใจ

หมวดวิทยุแจ้งคดีรถชน!
.
.
.
WTF!@#$%

ตบยุงทั้งวันพอจะออกไปกินข้าวรถดันชนกัน!?

Oh god... Why...? T ^T

ผมถามพี่เลี้ยงของผมว่าผมต้องทำอะไรบ้าง พี่ผมบอก "ก็ง่ายๆ ข้อมูลคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย รถอะไร ขับมาจากไหน ต้องการจะไปที่ใด สบายๆน้อง ไม่ต้องเครียด"

...เครียดดิพี่ งานแรกเลย...

ใจผมตุ้มๆต่อมๆ ยอมรับเลยว่าผมอ่อนคดีจราจรมากจริงๆ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือคดีจราจรเพราะเป็นสิ่งที่ต้องชี้ให้ขาดว่าใครผิดใครถูก และต้องแม่นในกฎหมายจราจรระดับหนึ่ง

แต่...

ที่ผมเลือกโรพักที่นี่ก็เพราะผมจะกลบจุดอ่อนของผมนี่แหละ คดีของที่นี่ 50% เป็นคดีจราจร และมีเหตุรถชนกันทุกวัน เฉลี่ยแล้ววันละ 1.5 คัน ดังนั้นเชื่อได้เลยว่า 5 เดือนนี้ ผมเป็นคดีจราจรแน่นอน

ผมนั่งอยู่บนรถและทบทวนในสิ่งที่ต้องทำอีกครั้ง พี่ผมคอยให้กำลังใจอยู่ที่โรงพักและกำชับว่าถ้าสงสัยอะไรให้โทรถาม แกอยากให้ผมเป็นไวๆ เลยต้องให้ผมบินเดี่ยวแบบนี้

แสงจากไซเรนรถกู้ภัยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลายร้อมไปด้วยคนเต็มถนน
รถกระบะที่ผมนั่งมาด้วย มาจอดเทียบบริเวณจุดที่เกิดเหตุ
แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้าที่เกิดเหตุคดีรถชน
แต่เป็นครั้งแรกที่ผมจะต้องทำคดีนี้และมีส่วนในการลงความเห็นว่าฝ่ายใดเสียเปรียบในการเดินรถ
เท้าก้าวแรกที่ผมเหยียบพื้นผมนึกถึงหนังสงครามเวียดนามเรื่องหนึ่ง ที่พระเอกลงเฮลิคอปเตอร์ ในสนามรบเป็นคนแรก ผมไม่ได้ไปรบกับใครหรอกนะ แต่ความรู้สึกมันเหมือนอยู่ในสมรภูมิของคน 2 ฝั่ง ทั้งฝ่ายคู่กรณีที่ชนและถูกชน 
ผมถูกห้อมล้อมไปด้วย เจ้าหน้าที่กู้ภัย ไทยมุง ญาติคู่กรณีทั้ง 2 
ผมทบทวนสิ่งที่ต้องทำอีกครั้งว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ท่ามกลางเสียงของฝั่งญาติว่าฝั่งนี้ถูกฝั่งนู้นผิด

"มีใครเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุบ้างครับ"

ผมตะโกนขึ้นท่ามกลางเสียงเหล่านั้น แต่ไม่มีใครเลยที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์จริงๆซักคน พอผมถามออกไปมีแต่คนมองหน้ากันเลิกลั่กเพราะไม่ได้มีใครเห็นจริงๆซักคน

ผมเข้าไปดูสภาพรถมอเตอไซค์ที่ถูกชน สภาพยับเยินมาก จนผมเป็นห่วงว่าผู้บาดเจ็บจะเป็นอะไรมากไหม แต่จากสภาพคราบเลือดมีน้อยมาก

ผมจดเลขทะเบียน และข้อมูลเบื้องต้น รถมอเตอไซค์คันนี้ก็ช่างเก่าเหลือเกิน ถามญาติถึงรุ่นก็ไม่มีใครรู้ซักคน ป้ายสติกเกอร์ฮอนด้า ผมก็ไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะใช่ฮอนด้าไหม รถเก่าขนาดนี้

ผมสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ได้รับบาดเจ็บเสร็จ และพยายามมองหาพยานที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่มีใครเลยจริงๆ มีแต่ไทยมุงล้วนๆ

ผมเดินตรงไปหาคู่กรณีอีกฝั่งซึ่งเป็นรถยนต์ รอยเบรค ค่อนข้างไกลจากจุดที่ชน กะจากสายตาประมาณ 20 เมตรเห็นจะได้ รถคันนี้คงต้องขับมาไม่ต่ำกว่า 100 km/hr แน่ๆ

คู่กรณีโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากเนื่องจาก AIR BACK ถูกดีดออก แต่ค่อนข้างที่จะตกใจเนื่องจากเป็นผู้หญิง ผมขอดูใบขับขี่ และจดรายละเอียดเบื้องต้นเอาไว้ รวมถึงรายละเอียดพยานที่นั่งมาในรถด้วยกัน รวมถึงสอบถามพฤติการณ์เบื้องต้นว่าขับมาจากไหน ต้องการไปไหน รถจักรยานยนต์ออกมาอย่างไร

รถชนกันในต่างจังหวัดนี่ดีหน่อย ที่บ้านใกล้เรือนเคียงรู้จักกันหมด พอรถชนก็จะมีคนกลางมาคอยช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย

ผมเดินกลับมาจุดที่ชนอีกครั้งเพื่อที่จะวาดแผนที่คร่าวๆ และพยายามนึกถึงรายละเอียดที่ต้องเก็บ ยอมรับเลยว่าผมไม่ได้ใช้ไอ้ช่องตารางที่มันให้มาหรอก... มันเขียนไม่พอ และจัดมาแบบสวยงามเกินไป ตอนนี้สมุดผมไม่ต่างอะไรกับกระดาษเลคเชอร์ที่โยงข้อมูลกันไปมา แบบงงๆ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นมาดูก็คงจะไม่รู้เรื่อง

ในขณะที่ผมกำลังจะจดรายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ ฝั่งญาติคนโดนชนก็กอดกระจังหน้ารถที่มีแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งมันหลุดออกมาในเกิดเหตุ

"เดียวๆ น้อง วางครับวาง พยานหลักฐานครับ น้องใจเย็นๆนะไม่ต้องกลัวว่าพี่เขาหนีไปไหน เขาก็ยังยืนอยู่ให้ปากคำกับพี่นะครับน้อง"

ผมบอกน้องฝ่ายที่ถูกชน ซึ่งหน้าตาจะเอาเรื่องอีกฝ่ายให้ได้ แต่ก็ยอมวางตามคำที่ผมบอกพร้อมกับโวยวายไปมา 

ผมโทรหาพี่เลี้ยงผมอีกครั้งว่าผมต้องทำอย่างไรต่อไปบ้าง ต้องรอประกันให้มาถ่ายรูปหรือไม่อย่างไร แต่พี่ผมบอกว่า "กลับมาได้เลยน้อง ถ้าเขาพ่นรอยแล้ว เดียวรอรถยกมายกรถไป แล้วให้เขามาเคลียกับประกันกันที่โรงพัก"

ระหว่างที่รอเคลียพื้นที่อยู่ ผมก็พยายามหาพยานที่เห็นเหตุการณ์เพิ่มแต่มันก็ไม่มีจริงๆ ถึงแม้ว่าเคสนี้ดูแล้วว่ามอเตอไซค์ตัดออกมาจากซอยด้านข้างเพื่อกลับรถซึ่งถือเป็นทางโทในสิทธิการใช้ทาง แต่ก็อาจจะเป็นได้ว่ารถมอเตอไซค์อยู่ในเลนอยู่แล้ว แล้วถูกชนก็เป็นได้

ผมกลับมาที่โรงพัก พี่เลี้ยงยิ้มให้ผมและขอดูสมุดตรวจที่เกิดเหตุ

"ไอ้สมุดนี้มันใช้ไม่ได้หรอกน้อง ไปเอา A4 มาให้พี่"

ผมหยิบ  A4 ให้พี่เลี้ยงผม ที่ตอนนี้กำลังจะสอนพื้นฐานการวางท่ามวยที่ถูกต้องให้อยู่

อย่างแรก คือ แบ่งคู่กรณีก่อน 

1. รถยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร สีอะไร หมายเลขทะเบียนใด
2. คนขับชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ อยู่บ้านเลขที่อะไร ประกอบอาชีพอะไร และเบอร์โทรศัพท์อะไร
3.มีประกันภัยหรือไม่ ชั้นอะไร ของบริษัทใด
4.ถ้าเป็นคนเจ็บตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลอะไร และใครคือญาติผู้ที่ติดต่อได้

อย่างที่สอง คือ เหตุเกิดที่ใด ถนนเส้นไหน วันที่เท่าไหร่ เวลาเท่าใด

อย่างที่สาม รถคันใดมาจากทิศทางไหน ทางโทตัดทางเอก หรืออย่างไร

3 อย่างนี้ถูกเขียนออกมาอย่างเรียบร้อยเข้าใจง่าย

"สมุดนี้มันสวยหรูเกินไป พี่ไม่เคยเอามันมาใช้เลย... แต่ถ้าเป็น A4 แผ่นนี้ น้องกลับมาจากตรวจที่เกิดเหตุน้องก็เอาให้เสมียนลงประจำวันได้ง่ายๆ ไม่ต้องมานั่งแกะรอย หาให้ยุ่งยาก"

หลังจากนั้นพี่เลี้ยงของผมออกหนังสือขอตรวจพิสูจน์ผลแอลกอฮอล์ในเลือด 

"โดยปกติจะต้องให้เจ้าตัวหรือฝ่ายญาติยินยอมในการเจาะเลือด แต่ถ้าหากเรามีความเห็นสันนิษฐานว่าคนขับรถมีอาการมึนเมาจริง เราก็สามารถขอตรวจได้โดยไม่ต้องผ่านคำขอ"

ผมนำหนังสือนี้ ไปยืนเถียงกับหมออยู่นานว่าตกลงมันได้หรือไม่ได้ที่โรงพยาบาล แต่สุดท้ายโรงพยาบาลก็ไม่รับตรวจเลือดอยู่ดีเพราะเป็นโรงพยาบาลตรวจเลือดไม่ได้รวมทั้งผู้บาดเจ็บได้เข้าห้อง ICU ไปแล้ว ผมก็ไม่ได้อะไรมาก เพียงแค่ต้องการให้ผู้ที่มีหน้าที่เซ็นกำกับด้วยว่าทางโรงพยาบาลไม่สามารถตรวจสอบเลือดได้

...แต่ก็ไม่มีใครเซ็นให้อยู่ดี...

ผมคุยกับทางญาติและเห็นใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมคุยดีตลอดตั้งแต่ตรวจที่เกิดเหตุจนมาถึงที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่เสมียนซึ่งไม่ได้แต่งชุดตำรวจได้คุยกับทางญาติ มาบอกกับผมว่า

"หมวดทางฝั่งญาติเขาคิดว่าหมวดรับเงิน จะเอนเอียงคดีให้ฝั่งนู้นตลอด"

ผมก็บอกว่าเห้ย! จะบ้าเหรอ นี่ก็คุยกับทุกฝ่ายเหมือนๆกัน ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน 
สุดท้ายมาบอกว่าหมวดรับเงินเอนเอียงคดีเนี่ยนะ? 

#หมวดเพลีย