วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

บันทึก พงส. วันที่ 1 : รถชน บินเดี่ยว

วันนี้ได้ฝึกงานเป็น ณ ที่โรงพักแห่งหนึ่งใกล้กรุงพระนครศรีอยุธยา แปลกๆนิดหน่อย ที่ตัวเองย้ายการทำงานมาจากบางซื่อ มาอยู่โรงพักเงียบๆ ที่วันๆหนึ่งแทบไม่มีอะไร ผิดกับบางซื่อ ที่มีอะไรให้ทำทั้งวัน ทั้งเรื่องที่เป็นคดีและไม่เป็นคดี แต่มาวันนี้...

...เงียบมาก...

......เงียบเกินไป.....

.........ให้ตายเถอะ!.........

การฝึกครั้งนี้เป็นการฝึกครั้งที่ 2 หลังจากที่ผ่านการฝึกครั้งแรกในขณะที่เป็นนักเรียน ความรู้สึกมันก็แปลกดีนะ รู้สึกดาวบนบ่า มันหนักกว่า ชฎาขึ้นเยอะเลย...

สงสัยเพราะชฎาเป็นสังกะสี...

ผมโชคดีมากที่ได้พี่เลี้ยงที่ดีและเก่งคนหนึ่งแกสอนทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และมองขาดในคดีทุกอย่าง แกให้นโยบายกับผมว่า 5 เดือนนี้ ผมจะต้องเป็น พงส. ที่ไม่กลัวงาน และทำคดีได้ทุกคดี! 

มาวันนี้แกเลยให้ผมนั่งเข้าเวรคนเดียว...

ซักก่อนเที่ยง ลูกค้ารายแรกก็ได้เดินเข้ามาถึง 

"หมวดคะ ที่ร้านเฮีย...โดนคนร้ายงัดเมื่อคืนคะ"

ผมหันไปถามพี่พงส.ท่านอื่นที่เข้ามานั่งทำงานอยู่ในห้องเป็นกำลังใจร้อยเวรดาวเดี่ยว

"ไม่ยากหรอกไอ้น้อง ก็ออกไปตรวจที่เกิดเหตุซิ มาไปเอาสมุดตรวจที่เกิดเหตุมา"

ผมให้พี่พ่อบ้านประจำโรงพักเป็นคนจัดหาให้ สมุดเล่มแดงหนาๆ ที่มีหน้าหลัง 2 ฝั่งแยกเป็นคดีอาญา และคดีจราจร ก็ได้มาอยู่ในมือผม

"ไอ้น้อง งานตรวจที่เกิดเหตุ เป็นงานที่ต้อง Take Action ไปตรวจไปดู ว่ามีอะไรที่พอเป็นพยานหลักฐานได้บ้าง บางครั้งผู้เสียหายเขาไม่ติดใจหรือไม่หวังกับสิ่งที่เสียไปหรอก แต่เขาแจ้งเพื่อให้เรารับรู้และดำเนินการ เราก็ทำหน้าที่ของเราที่ทำได้ ถ้าพี่เข้าปกติพี่มีถุงมือส่วนตัวไว้หยิบจับวัตถุพยานเลยนะ"

พี่คนเดิมสอนผมมาแบบนั้น ถึงแม้ว่าานที่บางซื่อจะเยอะ แต่ผมไม่เคยออกไปตรวจที่เกิดเหตุคดีลักทรัพย์เลยซักครั้ง เพราะว่าส่วนใหญ่ เป็นคดีขโมยลักบัตรเครดิต หรือลักบัตรเอทีเอ็ม ไปกดเสียมากกว่า ทำให้ผมไม่เคยออกตรวจที่เกิดเหตุงัดบ้านงัดร้านเสียที

ผมนั่งรถออกมากับพี่เสมียนเวรคดี เราขับรถของสาย ป. ไปเพราะรถของร้อยเวร เอาไปซ่อมอยู่ ช่วงนี้ถ้าใครมีเหตุรถชน ก็ต้องอาศัยรถตัวเอง หรือ พึ่งบุยรถของสายงานอื่นแบบที่ผมทำอยู่

ผมเข้าไปถึงที่เกิดเหตุสอบถามเบื้องต้นและทราบว่าที่เกิดเหตุนั้นถูกทำลายเสียแล้ว ถูกทำลายในที่นี้ไม่ใช่คนร้ายทำร้ายนะ... แต่เป็นคนเจ้าของนี่แหละ เพราะการเข้าที่เกิดเหตุที่ถูกรอยมือคนจับนู่นจับนี่ไปเรื่อย เดินไปเดิมาทั่วห้อง แม่กุญแจที่ถูกงัดก็เอาไปโยนทิ้งโดยลูกน้อง แบบนี้แหละ 

ที่เกิดเหตุเสียหายแล้ว

ผมไม่ได้อะไรเลยจากคดีนี้ ได้เพียงแต่ข้อสันนิษฐานเบื้องต้น และประสานขอดูกล้องกับบ้านข้างๆ ซึ่งกล้องก็ถูกแหงนโดยคนร้ายเช่นกัน 

ผมกลับมาและได้รับบทเรียนอะไรหลายอย่างในครั้งนี้

1.ถ้าพกถุงมือ ไฟฉาย กับ แบลคไลท์ ก็คงจะดี อาจจะหาลายนิ้วมือในจุดที่เราคิดว่าน่าจะมี แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ก็ได้ 

2.ให้เวลากับที่เกิดเหตุน้อยเกินไป ตรวจไม่ละเอียด ไม่รอบคอบ ยังถามไม่ครบถ้วน
.
.
.
.
.
.

ผมกลับมานั่งตบยุงอีกครั้ง 

ทั้งวันนี่มันไม่มีคดีอะไรเลยจริงๆ จนกระทั่งเลยไปถึงกลางคืน ถึงแม้ว่าผมจะเข้าเวร 24 ชั่วโมง แต่คนบ้าที่ไหนจะไปแหกขี้ตา 24 ชั่วโมงเล่า พัก ซิครับพัก มีคดีค่อยว่ากัน พอ 4 ทุ่ม พี่ผมจะพาไปกินข้าวข้างนอก ผมเปลี่ยนชุดออกไปกินข้าวด้วยความสบายใจ

หมวดวิทยุแจ้งคดีรถชน!
.
.
.
WTF!@#$%

ตบยุงทั้งวันพอจะออกไปกินข้าวรถดันชนกัน!?

Oh god... Why...? T ^T

ผมถามพี่เลี้ยงของผมว่าผมต้องทำอะไรบ้าง พี่ผมบอก "ก็ง่ายๆ ข้อมูลคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย รถอะไร ขับมาจากไหน ต้องการจะไปที่ใด สบายๆน้อง ไม่ต้องเครียด"

...เครียดดิพี่ งานแรกเลย...

ใจผมตุ้มๆต่อมๆ ยอมรับเลยว่าผมอ่อนคดีจราจรมากจริงๆ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือคดีจราจรเพราะเป็นสิ่งที่ต้องชี้ให้ขาดว่าใครผิดใครถูก และต้องแม่นในกฎหมายจราจรระดับหนึ่ง

แต่...

ที่ผมเลือกโรพักที่นี่ก็เพราะผมจะกลบจุดอ่อนของผมนี่แหละ คดีของที่นี่ 50% เป็นคดีจราจร และมีเหตุรถชนกันทุกวัน เฉลี่ยแล้ววันละ 1.5 คัน ดังนั้นเชื่อได้เลยว่า 5 เดือนนี้ ผมเป็นคดีจราจรแน่นอน

ผมนั่งอยู่บนรถและทบทวนในสิ่งที่ต้องทำอีกครั้ง พี่ผมคอยให้กำลังใจอยู่ที่โรงพักและกำชับว่าถ้าสงสัยอะไรให้โทรถาม แกอยากให้ผมเป็นไวๆ เลยต้องให้ผมบินเดี่ยวแบบนี้

แสงจากไซเรนรถกู้ภัยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลายร้อมไปด้วยคนเต็มถนน
รถกระบะที่ผมนั่งมาด้วย มาจอดเทียบบริเวณจุดที่เกิดเหตุ
แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้าที่เกิดเหตุคดีรถชน
แต่เป็นครั้งแรกที่ผมจะต้องทำคดีนี้และมีส่วนในการลงความเห็นว่าฝ่ายใดเสียเปรียบในการเดินรถ
เท้าก้าวแรกที่ผมเหยียบพื้นผมนึกถึงหนังสงครามเวียดนามเรื่องหนึ่ง ที่พระเอกลงเฮลิคอปเตอร์ ในสนามรบเป็นคนแรก ผมไม่ได้ไปรบกับใครหรอกนะ แต่ความรู้สึกมันเหมือนอยู่ในสมรภูมิของคน 2 ฝั่ง ทั้งฝ่ายคู่กรณีที่ชนและถูกชน 
ผมถูกห้อมล้อมไปด้วย เจ้าหน้าที่กู้ภัย ไทยมุง ญาติคู่กรณีทั้ง 2 
ผมทบทวนสิ่งที่ต้องทำอีกครั้งว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ท่ามกลางเสียงของฝั่งญาติว่าฝั่งนี้ถูกฝั่งนู้นผิด

"มีใครเป็นพยานเห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุบ้างครับ"

ผมตะโกนขึ้นท่ามกลางเสียงเหล่านั้น แต่ไม่มีใครเลยที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์จริงๆซักคน พอผมถามออกไปมีแต่คนมองหน้ากันเลิกลั่กเพราะไม่ได้มีใครเห็นจริงๆซักคน

ผมเข้าไปดูสภาพรถมอเตอไซค์ที่ถูกชน สภาพยับเยินมาก จนผมเป็นห่วงว่าผู้บาดเจ็บจะเป็นอะไรมากไหม แต่จากสภาพคราบเลือดมีน้อยมาก

ผมจดเลขทะเบียน และข้อมูลเบื้องต้น รถมอเตอไซค์คันนี้ก็ช่างเก่าเหลือเกิน ถามญาติถึงรุ่นก็ไม่มีใครรู้ซักคน ป้ายสติกเกอร์ฮอนด้า ผมก็ไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะใช่ฮอนด้าไหม รถเก่าขนาดนี้

ผมสอบถามข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ได้รับบาดเจ็บเสร็จ และพยายามมองหาพยานที่เห็นเหตุการณ์แต่ไม่มีใครเลยจริงๆ มีแต่ไทยมุงล้วนๆ

ผมเดินตรงไปหาคู่กรณีอีกฝั่งซึ่งเป็นรถยนต์ รอยเบรค ค่อนข้างไกลจากจุดที่ชน กะจากสายตาประมาณ 20 เมตรเห็นจะได้ รถคันนี้คงต้องขับมาไม่ต่ำกว่า 100 km/hr แน่ๆ

คู่กรณีโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมากเนื่องจาก AIR BACK ถูกดีดออก แต่ค่อนข้างที่จะตกใจเนื่องจากเป็นผู้หญิง ผมขอดูใบขับขี่ และจดรายละเอียดเบื้องต้นเอาไว้ รวมถึงรายละเอียดพยานที่นั่งมาในรถด้วยกัน รวมถึงสอบถามพฤติการณ์เบื้องต้นว่าขับมาจากไหน ต้องการไปไหน รถจักรยานยนต์ออกมาอย่างไร

รถชนกันในต่างจังหวัดนี่ดีหน่อย ที่บ้านใกล้เรือนเคียงรู้จักกันหมด พอรถชนก็จะมีคนกลางมาคอยช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย

ผมเดินกลับมาจุดที่ชนอีกครั้งเพื่อที่จะวาดแผนที่คร่าวๆ และพยายามนึกถึงรายละเอียดที่ต้องเก็บ ยอมรับเลยว่าผมไม่ได้ใช้ไอ้ช่องตารางที่มันให้มาหรอก... มันเขียนไม่พอ และจัดมาแบบสวยงามเกินไป ตอนนี้สมุดผมไม่ต่างอะไรกับกระดาษเลคเชอร์ที่โยงข้อมูลกันไปมา แบบงงๆ ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นมาดูก็คงจะไม่รู้เรื่อง

ในขณะที่ผมกำลังจะจดรายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ ฝั่งญาติคนโดนชนก็กอดกระจังหน้ารถที่มีแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งมันหลุดออกมาในเกิดเหตุ

"เดียวๆ น้อง วางครับวาง พยานหลักฐานครับ น้องใจเย็นๆนะไม่ต้องกลัวว่าพี่เขาหนีไปไหน เขาก็ยังยืนอยู่ให้ปากคำกับพี่นะครับน้อง"

ผมบอกน้องฝ่ายที่ถูกชน ซึ่งหน้าตาจะเอาเรื่องอีกฝ่ายให้ได้ แต่ก็ยอมวางตามคำที่ผมบอกพร้อมกับโวยวายไปมา 

ผมโทรหาพี่เลี้ยงผมอีกครั้งว่าผมต้องทำอย่างไรต่อไปบ้าง ต้องรอประกันให้มาถ่ายรูปหรือไม่อย่างไร แต่พี่ผมบอกว่า "กลับมาได้เลยน้อง ถ้าเขาพ่นรอยแล้ว เดียวรอรถยกมายกรถไป แล้วให้เขามาเคลียกับประกันกันที่โรงพัก"

ระหว่างที่รอเคลียพื้นที่อยู่ ผมก็พยายามหาพยานที่เห็นเหตุการณ์เพิ่มแต่มันก็ไม่มีจริงๆ ถึงแม้ว่าเคสนี้ดูแล้วว่ามอเตอไซค์ตัดออกมาจากซอยด้านข้างเพื่อกลับรถซึ่งถือเป็นทางโทในสิทธิการใช้ทาง แต่ก็อาจจะเป็นได้ว่ารถมอเตอไซค์อยู่ในเลนอยู่แล้ว แล้วถูกชนก็เป็นได้

ผมกลับมาที่โรงพัก พี่เลี้ยงยิ้มให้ผมและขอดูสมุดตรวจที่เกิดเหตุ

"ไอ้สมุดนี้มันใช้ไม่ได้หรอกน้อง ไปเอา A4 มาให้พี่"

ผมหยิบ  A4 ให้พี่เลี้ยงผม ที่ตอนนี้กำลังจะสอนพื้นฐานการวางท่ามวยที่ถูกต้องให้อยู่

อย่างแรก คือ แบ่งคู่กรณีก่อน 

1. รถยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร สีอะไร หมายเลขทะเบียนใด
2. คนขับชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ อยู่บ้านเลขที่อะไร ประกอบอาชีพอะไร และเบอร์โทรศัพท์อะไร
3.มีประกันภัยหรือไม่ ชั้นอะไร ของบริษัทใด
4.ถ้าเป็นคนเจ็บตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลอะไร และใครคือญาติผู้ที่ติดต่อได้

อย่างที่สอง คือ เหตุเกิดที่ใด ถนนเส้นไหน วันที่เท่าไหร่ เวลาเท่าใด

อย่างที่สาม รถคันใดมาจากทิศทางไหน ทางโทตัดทางเอก หรืออย่างไร

3 อย่างนี้ถูกเขียนออกมาอย่างเรียบร้อยเข้าใจง่าย

"สมุดนี้มันสวยหรูเกินไป พี่ไม่เคยเอามันมาใช้เลย... แต่ถ้าเป็น A4 แผ่นนี้ น้องกลับมาจากตรวจที่เกิดเหตุน้องก็เอาให้เสมียนลงประจำวันได้ง่ายๆ ไม่ต้องมานั่งแกะรอย หาให้ยุ่งยาก"

หลังจากนั้นพี่เลี้ยงของผมออกหนังสือขอตรวจพิสูจน์ผลแอลกอฮอล์ในเลือด 

"โดยปกติจะต้องให้เจ้าตัวหรือฝ่ายญาติยินยอมในการเจาะเลือด แต่ถ้าหากเรามีความเห็นสันนิษฐานว่าคนขับรถมีอาการมึนเมาจริง เราก็สามารถขอตรวจได้โดยไม่ต้องผ่านคำขอ"

ผมนำหนังสือนี้ ไปยืนเถียงกับหมออยู่นานว่าตกลงมันได้หรือไม่ได้ที่โรงพยาบาล แต่สุดท้ายโรงพยาบาลก็ไม่รับตรวจเลือดอยู่ดีเพราะเป็นโรงพยาบาลตรวจเลือดไม่ได้รวมทั้งผู้บาดเจ็บได้เข้าห้อง ICU ไปแล้ว ผมก็ไม่ได้อะไรมาก เพียงแค่ต้องการให้ผู้ที่มีหน้าที่เซ็นกำกับด้วยว่าทางโรงพยาบาลไม่สามารถตรวจสอบเลือดได้

...แต่ก็ไม่มีใครเซ็นให้อยู่ดี...

ผมคุยกับทางญาติและเห็นใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมคุยดีตลอดตั้งแต่ตรวจที่เกิดเหตุจนมาถึงที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่เสมียนซึ่งไม่ได้แต่งชุดตำรวจได้คุยกับทางญาติ มาบอกกับผมว่า

"หมวดทางฝั่งญาติเขาคิดว่าหมวดรับเงิน จะเอนเอียงคดีให้ฝั่งนู้นตลอด"

ผมก็บอกว่าเห้ย! จะบ้าเหรอ นี่ก็คุยกับทุกฝ่ายเหมือนๆกัน ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน 
สุดท้ายมาบอกว่าหมวดรับเงินเอนเอียงคดีเนี่ยนะ? 

#หมวดเพลีย



วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

Review : SONY-NWZ615 หูฟังที่จะเปลี่ยนโลกใต้น้ำของคุณด้วยเสียงเพลง!

        สวัสดีครับชาวเน็ตทุกท่าน วันนี้ Glucose คนเดิมจะขอมารีวิวหูฟังกันบ้างหลังจากที่รีวิวกันแต่ร้านอาหาร ตะลุยแดก แดกกันอย่างเดียว เดียวจะหาว่ามีดีแค่รีวิวของกิน วันนี้เลยจัดหูฟังส่วนตัวที่ผมชอบมากที่สุด เก็บตังค์มาเกือบ 2 เดือนกว่าจะถอยเจ้าตัวนี้ได้ และรีวิวนี้มาจากประสบการณ์จริงไม่มีอวยแน่นอน

ขอให้ทุกท่านเชิญพบกับ...

SONY NWZ-WS615 !!


        เจ้าหูฟังตัวนี้จริงๆแล้วเป็น Walkman สำหรับการใส่ออกกำลังกายครับ ทีเด็ดของมันอยู่ที่มัเป็นหูฟังกันน้ำที่สามารถใส่ไปว่ายน้ำได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่ามันจะพังหรือมันจะช๊อตหูผมดับไปเสียก่อน

คุณสมบัติเด่น ที่เป็นตัวชูโรงของเจ้าตัวนี้ตามที่ SONY ได้ประกาศปาวๆกันเลยก็คือ
- กันน้ำลึกได้ 2 เมตร ป้องกันได้ในระดับ IPX 5/8 แต่ต้องไม่สัมผัสโดยตรงกับทรายหรือน้ำทะเลนะจ๊ะ
- ความจุ 16 GB เก็บเพลงได้ 4,000 เพลง ฟังเพลงชาตินี้จบอีกทีชาติหน้า
- รีโมทควบคุมหูฟัง ที่สามารถกันน้ำได้ แต่ไม่สามารถนำไปแช่น้ำได้ (ทั้งๆที่หูฟังกันน้ำ - -")
- ระบบ Quick Charge ชาร์จ 3 นาที เล่นเพลงได้ 60 นาที (ชาร์จไวมากจริงๆ)
- ระบบ Bluetooth ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์โทรศัพท์ เพื่อรับสายหรือฟังเพลงได้

ตัวหูฟังตัวนี้ค่อนข้างมีขนาดที่ใหญ่กว่าเจ้ารุ่นเล็กอย่าง SONY-WS และแพงกว่าเกือบเท่าตัว เพราะว่าได้เสริมด้วยคุณสมบัติอันหลากหลายเข้าไปอยู่ในตัวรุ่น NWZ เยอะพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าจะเทอะทะอะไรมากมาย เมื่อได้ลองสวมใส่แล้วก็ใส่ได้สบายไม่ต่างกันมาก และที่ผมชอบที่สุดเลยคือไม่จำเป็นต้องมีสายระโยงระยางให้เกะกะเวลาออกกำลังกายเลยครับ 



การออกแบบและจัดวางปุ่มที่สามารถกดได้ง่ายเมื่อสวมใส่

ฟังก์ชั่นที่มีมาครบครันและการออกแบบที่ใช้งานง่าย

         เจ้าหูฟังตัวนี้จริงมันก็คือเครื่องเล่น MP3 นั่นแหละระบบฟังก์ชั่นไม่ว่าจะเป็น 
โหมด Normal play , Repeat play , Shuffle play แต่ถ้าหากเราต่อ Blutooth อยู่ มันก็จะมีโหมด Handfree มาด้วย (ก็คือเล่นเพลงในมือถือนั่นแหละ)
         การออกแบบปุ่มกดที่กดได้ง่ายและใช้งานได้ง่ายมากๆ ไม่ต้องศึกษาให้ยุ่งยากอะไรใช้เวลาทำความเคยชินไม่กี่นาทีก็ใช้ได้แล้วครับ

การลงเพลงที่ง่ายโคตรๆ

จริงๆทาง Sony มี Software ลงเพลงชื่อ MediaGo มาให้ใช้ ซึ่งมันก็มีไว้อัพเดทซอฟท์แวร์ของเครื่องและลงเพลงต่างๆ เอาจริงๆถ้าไม่ใช้โปรแกรมนี้ก็สามารถทำได้ง่ายๆด้วยการ ลากไฟล์เพลงมาลงในเครื่องเท่านั้นแหละ จบ เพราะเจ้าหูฟังตัวนี้จะเล่นไฟล์เสียงทุกไฟล์ที่คุณลงไว้ในเครื่อง มีครั้งหนึ่งเพื่อนเคยเอาไปใช้แทน แฟลชไดรฟ์ลงเกม Counter - Strike ซึ่งผมก็ไม่รู้นั่งฟังไปซักพักก็นึกว่าเพลง (เพราะไฟล์เสียงเกมมันสั้นๆ ต่อๆกันแล้วมันออกมาเป็นจังหวะ) พอมาถึงไฟล์ภาษาไทย


"555+ เผ่นกันป่าราบซิ เผ่นกันป่าราบซิ"
ก็เลยถึงบางอ้อว่ามันเล่นทุกไฟล์เสียงตั้งแต่บัดนั้น

      

ฟังแล้วเสียงเป็นอย่างไร?

        ปกติผมเป็นคนชอบฟังเพลงครับ และสามารถแยกแยะเสียงและเครื่องดนตรีได้พอควร เจ้าหูฟังตัวนี้ตอนลองที่ Shop sony นับว่าเสียงค่อนข้างดีเลยครับเก็บรายละเอียดเสียงเล็กน้อยได้ดีมาก ฟังแล้วมีมิติ แต่สำหรับเสียงเบสอาจไม่ได้มีเยอะจนทำให้ขี้หูกระเด็น แต่ว่าก็พอที่จะทำให้เราฟังแล้วโยกหัวตามได้


        แต่พอซื้อมาใช้ช่วงแรกๆ ความสยองบังเกิดเลยครับ เนื่องจากว่าเบสที่มันไม่ได้มีเยอะอะไรมากกลับแทบจะหายไป เป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากครับ ต้องมานั่ง Burn หูฟัง เปิดทิ้งไว้ทั้งวันทั้งคืน กว่าเสียงจะเข้าที่เข้าทางเบสกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็เป็นอาทิตย์ละครับ (ต้องอดทนหน่อยเน้อ)

ความแตกต่างระหว่างจุกยางปกติกับจุกยางสำหรับว่ายน้ำ


        Sony จะมีจุกยางแบ่งเป็น 2 ประเภทคือจุงยางสำหรับฟังทั่วไป (สีดำ) และจุกยางสำหรับใช้ว่ายน้ำ


-ข้อแตกต่างที่เด่นชัดที่สุดคือเรื่องเสียง จุกยางสำหรับว่ายน้ำ ค่อนข้างที่จะมีเสียงที่อุดอู้เล็กน้อย เนื่องจากบริเวณหัวจุกจะมีลักษณะตันเพื่อไม่ให้น้ำเข้าไปบริเวณแหล่งกำเนิดเสียง

- เวลาอยู่บนบกเสียงของจุงยางปกติย่อมดีกว่าจุกยางสำหรับว่ายน้ำเพราะว่าได้รับเสียงผ่านจากแหล่งกำเนิดเสียงโดยไม่มีอะไรปิดกั้น ฟังแล้วมันส์เหมือนเดิม

- แต่เวลาใช้จุกยางว่ายน้ำฟังเพลงใต้น้ำกลับไม่ได้ด้อยไปมากนัก (ผิดกับใส่จุกยางว่ายน้ำแล้วฟังบนบก)


จุงยางสีฟ้าอ่อนในรูป ใช้สำหรับว่ายน้ำ



แล้วจะเกิดอะไรขึ้น!? เมื่อนำเอาจุกยางปกติไปใส่ว่ายน้ำ??

           คำตอบจากการทดลองของผมก็คือ มันก็ใช้ได้นั่นแหละครับ ไฟก็ไม่ได้ช๊อตหูแต่ประการใด แต่เมื่อไหร่ที่น้ำสามารถเข้าไปในช่องว่างของจุกยาง น้ำจะไปอุดแหล่งกำเนิดเสียงทำให้เราไม่ได้ยินเสียงครับ ดังนั้นเวลาออกไปว่ายน้ำก็อย่าลืมเปลี่ยนเป็นจุกยางเสียเถอะครับ


หน้าตาไม่ค่อยดี...แต่ใส่ว่ายน้ำทีคนมองทั้งสระ! 55+

ว่ากันด้วยเมื่อใช้งานในการว่ายน้ำจริง 


           ผมขอด่าตัวเองทีเถอะครับทีมาเจอเจ้าหูฟังตัวนี้ช้าไป! เพราะมันเปลี่ยนโลกใต้น้ำของผมที่เคยเงียบเชียบให้มาสนุกสนานและเพลิดเพลินไปกับการว่ายน้ำ ทำให้เราว่ายน้ำได้นานขึ้นจริงๆครับ
เสียงใต้น้ำตอนเราดำน้ำปกติจะได้ยินชัดเจน แต่เมื่อเริ่มออกว่าย เสียงน้ำต่างๆจะรบกวนทำให้เราต้องเพิ่มเสียงให้ดังกว่าปกติเพื่อที่จะได้ยินให้ชัดเจน และเมื่อเวลาใช้ว่ายน้ำต้องยัดเข้ารูหูให้แน่นพอสมควรครับ เนื่องจากว่าเมื่อเราว่ายน้ำในจังหวะที่เราพุ่งตัวออกจากขอบสระหรือในจังหวะที่เราเงยหน้าหายใจ จะเกิดแรงต้าน ทำให้หูฟังมันชอบหลุดเอาบ่อยๆ 


ปุ่มบลูทูธและสัญญาณไฟสีฟ้าแสดงการเปิดใช้งาน

Bluetooth Handfree อีกหนึ่งฟีเจอร์สุดเจ๋ง! ที่ไม่ได้ใส่มาไว้แค่ประดับบารมี 


         อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ผมพูดลยว่ามันเจ๋งมากๆ เพราะเจ้าหูฟังตัวนี้มันไม่ได้มีเพียงแค่มีบลูทูธไว้ต่อโทรศัพท์กับเพลง แต่มันสามารถเป็น Handfree รับสายคุยโทรศัพท์ได้สบาย หลายคน(รวมถึงผม)มักคิดเอาเองว่าไอ้เจ้าฟีเจอร์บลูทูธมันคงมาใส่ให้ครบๆก็แค่นั้น ไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก แต่ผิดถนัด ไม่โครโฟนของเจ้าตัวนี้สามารถรับเสียงได้ดีเยี่ยม ถึงขนาดว่าผมชงชาเย็นด้วยช้อนพลาสติก คู่สายของผมยังสามารถได้ยินว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ดังนั้นเวลาใช้งานจริงเราไม่จำเป็นต้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ไปสะกิดโสตประสาทเท้าคนรอบข้าง แต่แค่เพียงพูดเบาๆก็ได้ยินแล้วครับ


แต่

        ข้อดีของมันก็กลายเป็นข้อเสียได้เนื่องจากว่ามันไม่น่าจะมีระบบ Noise Cancelling จึงทำให้ได้ยินเสียงทุกอย่างอย่างชัดเจน ทำให้คู่สายของคุณ รำคาญ ในหลายๆครั้งเนื่องจากมีเสียงมารบกวนอยู่ตลอดเวลา

แหวน Blutooth อุปกรณ์เสริมที่ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์

แหวนบลูทูธขนาดค่อนข้างใหญ่ แต่มีน้ำหนักเบาสามารถปรับขนาดวงแหวนได้

           นับเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่มีไว้แล้วดูดีแต่พอใช้งานจริงกลับไม่ตอบโจทย์ ผมเข้าใจว่ามันทำมาเพื่อให้ขณะที่เราวิ่งจะได้ไม่ต้องไปกดปุ่มที่หูฟังให้ยุ่งยาก (ทั้งๆที่มันก็ง่ายและไม่ได้ลำบากอะไร) 
แต่เมื่อพอใส่วิ่งจริงๆแล้ว ผมเองรู้สึกว่ามัน "เกะกะ" เหมือนเลือดลมเดินไม่สะดวก ยิ่งเวลาเหนื่อยมากๆหัวใจเต้นแรงๆ แทบอยากจะถอดมันทิ้ง (แต่บางคนก็บอกว่ามันมีแล้วดีนะ ก็ให้มันเป็น คหสต. ก็ละกัน)

สรุป 
        ถ้าคุณเป็นนักกีฬาหรือคนที่ชอบออกกำลังกายโดยเฉพาะการว่ายน้ำ หูฟังตัวนี้ตอบโจทย์มากครับ ทำให้เรามีความสุขกับการว่ายน้ำอันแสนน่าเบื่อไปได้เลย และไม่ใช่แค่การว่ายน้ำเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งระยะทางไกลๆก็สามารถใช้ได้ไม่รู้สึกเกะกะหัว ถ้าสนในราคาตัวนี้ก็จะอยู่ที่ 5990 บาท แต่สำหรับผมซื้อใน Lazada ลดไปเกือบ 800 (ต้องคอยโค้ดส่วนลดดีๆที่มีมาตอนกลางคืน) ถ้าใครสนใจจะซื้อก็สามารถมาสอบถามผมได้ทางเฟสนะครับยินดีให้คำแนะนำ แม้จะไม่ได้อะไรจาก Sony ก็ตาม (แต่ถ้าได้ก็ดี อิอิ) และ สำหรับใครที่อยากได้ดีสุดๆเจ๋งสุดๆ ตอนนี้ Sony พึ่งออกหูฟังตัวใหม่ ชื่อ B - Trainer ราคาก็จะแพงกว่า แต่มีฟังก์ชั่นที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายที่มากกว่า ถ้าทาง Sony ได้อ่านบทความนี้และยินดีที่จะส่งมาให้ผมรีวิวก็จะกราบงามๆละค้าบบบ 555+



วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review : Hitman 47 บู๊ระห่ำ!เลือดเต็มจอ!!




Hitman 47 กลับมาในหนัง Hitman ที่สุดของนักฆ่า เปิดฉากมาในชอตแรกก็ตื่นเต้นเร้าใจแล้วครับ (ไม่นับตอนต้นเรื่องที่เล่าที่มาที่ไปของหนัง) การฆ่าที่โหด! เถื่อน! ดิบ! และเหนือชั้นของ Agent 47 !! ที่ผมบอกเลยว่าคุณต้องชื่นชอบ! หนังค่อนข้างใช้มุมกล้องที่ดีมาก และการจัดวางเนื้อเรื่องที่คุณไม่อาจคาดเดาได้ (โดยเฉพาะในตอนแรก) ค่อนข้างจะงงกันเลยทีเดียวว่าคราวนี้ Agent ของเราเป็นพระเอกหรือตัวร้ายกันแน่!? เพราะว่า อีกฝ่ายเปิดตัวมาด้วยหน้าตาสุดแห่งความเป็นมิตร จากหนังเรื่อง สตาร์เทรค "สปอค" หรือชื่อนักแสดงจริงๆชื่อว่า Zachary Quinto หน้าตาแม่งโคตรเป็นมิตรสุดๆ แต่บอกได้เลยว่าในหนังนี่
เลวเหลือร้าย ลืมภาพสปอคหูยาวไปได้เลย!  


กูไม่ใช่ สปอค!





สวยเงียบๆ แต่ฟาดเรียบนะคะ! <3

นางเอกก็น่ารักดีครับ รับบทโดย Hannah Ware มีช็อตจุกหลุดแว๊บๆ มาให้เห็นเล็กน้อยพอให้ฮือฮา ส่วนในด้านการแสดงและบทที่ได้รับถือว่าเหมาะกับเธอมากๆครับ บทน่ารักๆ ก็เล่นซะเธอน่ารักมากจริงๆ (ในฉากถอดประกอบปืนพกที่สุด!) 

หล่อก็มาก...ท่ายากก็เยอะ!

พระเอกของเรารับบทโดย Rupert Friend แม้หน้าตาอาจจะไม่เร้าใจหรือเถื่อนเท่าภาคเก่า แต่การแสดงในมาดที่นิ่งขรึม ก็ทำได้ดีและการออกท่าทางต่างๆก็ไม่เก้งก้าง ที่ดูออกเพราะว่าในหลายๆฉากมีการผสมผสานศิลปะป้องกันตัวหลายๆอย่างไว้ด้วยกัน และเขาก็แสดงออกมาได้ดีมากๆ (มีท่าแม่ไม้มวยไทยด้วยนะ)



ฉากโชว์ประสิทธิภาพรถ Audi ที่กินขาด BMW จาก Mission Impossible 5!

Audi RS7 สีแดงแรงฤทธิ์!
แค่สีรถก็กินขาดแล้วครับ กับรถ Audi RS7 ตัวนี้ เพียงรูปลักษณ์ที่สื่อออกมา และอีกทั้งบทที่ได้รับผมว่ามันโชว์ประสิทธิภาพรถที่เหนือกว่า BMW จาก MI5 มากๆ ถ้าอยากรู้ว่าเหนือกว่าอย่างไรต้องไปชมเองครับ







เรื่องชม
- หนังค่อนข้างที่จะวางพลอตเรื่องได้ดี ดูแล้วไม่เบื่อ แทบจะลืมเวลาไปเลย
- มีบทน่ารักๆ ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในหนังเรื่องนี้
- มุมกล้อง และ ท่าทางลีลาการต่อสู้ยังยอดเยี่ยมเหมือนเคย
- เลือดสาด

เรื่องติ
- ความรู้สึกคือ Agent เก่งเกินไป เสียจนสู้กับใครก็ไม่สู้สีแม้แต่ตัวร้าย ไม่เหมือนกับภาคที่แล้ว ที่่ต้องต่อสู้กับ Agent ด้วยกันเอง ความรู้สึกมันเลยแตกต่างกัน
- ไม่มีฉากดวลมีดเด็ดๆ ถ้าเทียบจากภาคที่แล้วถือว่าด้อยไปหน่อย
- ตัวร้ายโหดๆ ไม่มีเลย ใช้นักแสดงหลักน้อยมาก

ความน่าดู 8 กะโหลก



ส่วนท่ายากนี่ให้ 10 โหลก!

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รีวิว Mission Impossible 5 : Rouge Nation บ่นยาวๆ ใครไม่ได้ดูมาก่อนขอเตือน!!

           อาจจะเป็นคนวิจารณ์หนังไม่เก่งนะครับ แต่จะขอพูดและใช้สำนวนตามที่ตัวเองเข้าใจ
สำหรับหนัง Mission Impossible 5 : Rouge Nation เป็นหนังที่ตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งเพราะอยากมาดูพ่อพระเอก Tom Cruise ที่ถึงแม้ว่าอายุจะปาเข้าไปแล้ว 50 ก็ตาม และส่วนหนึ่งก็จากที่ติดใจมาจากฉากภาค 4 ที่ทำให้ผมถึงกับตั้งหน้าตั้งตารอภาค 5 ด้วย คำว่า Mission Impossible ของจริง!




            ฉากแรกเปิดมาด้วยฉากเครื่องบินที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดังเพราะพี่ทอม ครูซสุดหล่อของเรา ลงทุนเกาะเครื่องบินเล่นบทเสี่ยงตายนี้ด้วยตัวเอง! ผมได้ดูเบื้องหลังที่พี่แกไปเกาะอยู่ข้างเครื่องบินมาหลายต่อหลายรอบ เพราะปลื้มว่ามันเจ๋ง  ...แต่พอมาดูจริงแล้วเฉยๆ... อาจจะเป็นเพราะผมมองว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลก็เป็นได้ แต่ถามว่ามันตื่นตาตื่นใจแล้วตื่นเต้นไหม? ผมบอกเลยว่ามาก (สำหรับคนที่ไม่ได้ดูเบื้องหลังมาก่อน)

            ฉาก Intro credit ผมนึกถึงของเจมส์บอนด์ภาคไหนจำไม่ได้ที่ใช้ ชนวนระเบิดเช่นกัน แต่บอกเลยว่าของเขาดูคลาสสิคกว่าเยอะ คือ MI5 มันดูงงๆ เร็วๆ ยังไงไม่รู้ ทำให้มันเเหมือนกับว่าผมไม่รู้จะดูอะไรจากฉากนี้ เหมือนไม่มีจุดนำสายตา อาจจะเพราะด้วยสีพื้นหลังมันกลืนไปหมด

รีเบ็คกา เฟอร์กูสัน รับบทนางเอกผู้มากความสามารถ

              ฉาก อีธาน ถูกจับ ฉากนี้คิวบู๊ดีครับ เปิดนางเอกของภาคนี้ด้วยความสามารถสุดพริ้ว เป็นคนสวยที่มีสเน่ห์ เป็นอย่างมาก ฉากนี้เสียอย่างเดียวด้วยความไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุดเลยคือ การที่อีกฝ่ายเอาปืน AK-47 หรือ อาก้า มายิงอีธาน ในอุโมงค์ทางตรงแคบๆ แต่กลับไม่ตายซะงั้น!! (เปลี่ยนเอากูไปยิง รับรอง...ไม่มีภาค 6 แน่นอน!) อีธานโดนกระสุนไปไม่รู้กี่นัด (ในฉากเห็นแต่เลือด) แต่ถ้าเอาคนมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธสงครามมาดูจะรู้เลยว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด! กระสุนจำพวกนี้ รูเข้าจะเล็ก รูออกจะใหญ่มาก ชีวิตจริง โดนเข้าช่วงลำตัวรับรองว่าดูไม่จืด สำหรับผม มองว่าถ้าเปลี่ยนเป็นไปหยิบ 9 มม. มาไล่ยิงแล้วยังยิงไม่โดนยังจะดูดีกว่าเสียอีก!

สกิลพระเอก ยิงเท่าไหร่กระสุนก็ติดกำแพง

          ในภาคนี้ความเข้มข้นของหนังดูลดลงไปมาก คือไม่ค่อยกดดัน แต่ออกฮาๆมากกว่า มีมุกมาให้เล่นเรียกเสียงหัวเราะแทบทุกฉาก ขัดกับความรู้สึกที่ว่า เห้ยในอเมริกาไม่มีใครเขาเอาคุณแล้วนะ! แถมวายร้ายก็ยังคอยจะเล่นงานอีก! แต่หนังดำเนินไปแบบเรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้พระเอกต้องหนักใจ ในฉากแก้ปัญหาและขบคิดกันก็ดูวางแผนกันง่ายๆ(แต่ลึกล้ำ) แต่ความไม่สมเหตุสมผลกันเริ่มลดลง

          ฉากที่ผมชอบในภาคนี้ที่สุดคงเป็นฉากที่ต้องเข้าไปเปลี่ยนชิปใต้น้ำและฉากที่ต้องไปเอาไฟล์เสียงนายกรัฐมนตรี ฉากใต้น้ำทำได้ดีมากถ้าฟังดีๆ เสียงเอฟเฟคจะเป็นเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตลอด แถมมีเสียงน้ำและตัดเสียงอื่นๆออกไปทั้งหมด ให้ความรู้สึกเหมือนกับเราเป็นอีธานในช่วงเวลานั้น

           ฉากต้องไปเอาไฟล์เสียงนายก ยอมรับเลยจริงๆว่าฉากนี้เดาไม่ถูกว่าจะเอามาได้ยังไง มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายและแก้เผ็ดแก้เกมทำให้อีธานและเพื่อนกลับมาแก้ตัวกับองค์กรได้ในคราวเดียว แถมแอบมีมุกฮาๆในจังหวะที่กำลังสแกนลายมือนายก อย่าง "มือคุณอุ่นจัง" (อ้าวเห้ย!? นายกมึงเป็นเกย์นี่หว่า!!)

           Gadget ของภาคนี้ดูเฉยๆไปมาก "มันดูไม่ Wow!" แบบในภาคก่อนๆ ดังเช่นเทียบกับภาค 4 ที่เป็นถุงมือสูญญากาศ ที่ในฉากค่อนข้างพรีเซนท์พอสมควร แต่สำหรับภาคนี้ชุดวัด Oxygen? กุญแจปลดรหัส? คอนแทคเลนส์สุดล้ำ? ผมว่ามันเฉยๆมากเลยนะมันเหมือนหาได้จากหนังสายลับทั่วไป และที่สำคัญคือ มันไม่พรีเซนท์ถึงความล้ำของGadget!!

           รถล้ำๆฉันหายไปไหน??  ในภาคนี้ผู้สนับสนุนยังคงเป็น BMW ยี่ห้อรถในดวงใจของผม แต่ทว่ารถสุดไฮเทคในภาคนี้นั้นมันไม่ออกมาเลยครับ! แต่มาแทนที่ด้วย BMW M3 รุ่นใหม่ รถตัวใหม่ของ BMW ที่ Body มันดูเป็นรถบ้านๆมากกว่ารถ Sport อาจจะเป็นเพราะ ภาค 4 ได้เปิดตัว BMW i8 Supercar ไปแล้ว จะเอารถทรง Sport กลับมาเล่นมุกเดิมก็กะไรอยู่ ก็เลยเอาเป็นว่าโชว์ความทนทานของรถรุ่นนี้ด้วยการขับลงบันไดมันซะเลย! แถมด้วยการถอยหลังลอยฟ้าลงมารถตีลังกา 5 รอบ แล้วคนนั่งยังไม่ตายก็ถือว่าพอคุ้มค่าสปอนเซอร์ละวะ!!

 BMW S 1000 RR มอเตอไซค์ว่าหล่อแล้ว...แต่คนขี่หล่อกว่า! 

           แต่ทีเด็ดในภาคนี้จริงๆอยู่ในฉากที่การขี่มอเตอไซค์ต่างหาก! ถือว่าตื่นเต้นเร้าใจมาก แถมพี่ทอม ครูซคนเดิมเพิ่มเติมคือแสดงเอง มาขี่โชว์แบบหล่อๆ แถมน่าจะเป็นภาคที่ไล่ล่าด้วยมอเตอไซค์กันนานที่สุดและมันส์ที่สุด! ...แต่สุดท้ายเฮียแกแหกโค้งเพราะนางเอกมายืนกลางถนน กลิ้ง 10 ตลบ แต่เลือดไม่มีซักหยด แถมยังกลับไปนั่งรอที่บาร์แบบชิลๆ บางทีก็ลืมไปว่าเฮียแกเป็นอีธานนึกว่าเป็นกัปตันเมกาตลอดดด

           ภายในเรื่องมีหลายฉากที่เราให้ชวนขบคิดอย่างเช่นในฉากที่นางเอกคุยกับอีธานที่สนามบิน เธอบอกเสนอทางเลือกทางเลือกให้ 3 ทาง และหนทางสุดท้ายคือหนีไปกับเธอ เธอให้เหตุผลว่า ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เราทำไปเท่าไหร่ก็จะต้องมีคนอย่างเลน(ตัวร้าย)ออกมาเรื่อยๆ และอย่างไรต่อให้ไม่มีเราก็ต้องมีคนที่มาทำหน้าที่แทนเราอยู่ดี อีธานแสดงสีหน้าออกมาเหมือนอยากจะตอบข้อ 3 พอมาลองคิดเป็นอีธานแล้วข้อ 3 ก็คงเป็นข้อเสนอที่เขาอยากจะทำมากที่สุดในชีวิต ถ้าลองดูตั้งแต่ภาคแรก กับภารกิจที่เขาได้รับและสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไป

          สิ่งที่ผมผิดหวังสำหรับภาคนี้ก็คือ ตัวร้ายช่างกระจอกเหลือเกิน...ไหนว่าถูกฝึกมาอย่างดี? หลายๆช็อทที่ทำให้ความรู้สึกถึงความสูสีนั้นไม่มีเลย หรืออาจจะเป็นเพราะอีธานและนางเอกโหดเกินไป? ในภาคนี้มันเลยไม่มีจุดที่ว่าอีธานจนมุมอย่างที่สุดเลยแม้แต่ฉากเดียว...

และเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุด
.
.
.
.
.
ก็คือ
.
.
.
.
.
.
"ทำไมมึงไม่จูบกันฟระ!!!"
ผมนี่แทบจะตะโกน "เชี้ยยยย" ให้ลั่นโรง ไอ้การ friend hug นี่มันคืออะไร!? มันไม่ถูกต้อง!!! ( T ^T)

สรุปความน่าดู (8.5/10)

ถึงแม้ว่าผมจะบ่นไปอย่างเยอะแต่เอาจริงๆแล้วภาคนี้ไม่ถึงกับว่ามันห่วย มันดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าให้เทียบกับภาคก่อนๆ ความหนักหน่วง ความซีเรียสของเนื้อเรื่อง ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่มันถูกแทนที่ด้วยมุกสนุกๆที่แอบเนียนๆมาในบท ทำเอาหัวเราะหรือยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง แถมเนื้อเรื่องปั่นหัวคนดูให้คิดได้ตลอดว่าจริงๆแล้วภารกิจจริงหรือลวงและใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกันแน่!? แผนอันเหนือชั้นที่คุณดูแล้วต้องอึ้ง สมกับเป็น Mission Impossible และความพริ้วไหวของนางเอกในภาคนี้ ก็ชวนให้หนังดูสนุกสนาน บทตัวละครต่างๆก็ดี ไม่หนักไปที่อีธานคนเดียว เอาเป็นว่าใครยังไม่ดูก็ไปดู ส่วนใครดูแล้วก็มาติชมกันตรงนี้แหละครับ :)







วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรามาถึงจุดนี้ได้ไงวะ...


เรามาถึงจุดนี้ได้ไงวะ...
จุดที่เราใกล้จบเป็นนายตำรวจแล้ว!

ระยะทาง 7 ปี จะว่ายาวนาน มันก็นานเสียเหลือเกิน
แต่พอมองย้อนกลับไป มันก็สั้นเสียเหลือเกิน

กะพริบตา 3 ครั้งจบ เตรียมทหาร
กะพริบตาอีก 4 ครั้ง จบ นายร้อยตำรวจ

จากเด็กที่ไม่เคยรู้จักนักเรียนนายร้อย
ไม่เคยคิดที่อยากจะเป็น...

...เรามาไกลแค่ไหนแล้ว?...

เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
ถามตัวเองเสมอว่าพร้อมหรือยังที่จะจบออกไปทำงาน?

...คำตอบก็คือไม่เลย...

But the show must go on.

ชีวิตมันก็ต้องเดินไปเรื่อยๆ 
แม้ว่าเราจะยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์บางอย่าง
แต่มันก็ต้องปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นแหละ

หลายครั้งที่เราต้องเจ็บ
ก็เพื่อให้เราเรียนรู้ว่าจะไม่เจ็บแบบเดิมอีก

หนังสือบางเล่มบอกมาอย่างนั้น...

ตอนนี้มันใกล้ถึงเวลาที่เราจะได้ออกไปเจ็บจริงๆแล้ว
เวลาที่เหลืออยู่ 
เราก็ทำได้เพียงแค่ต้องเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิม

"เพื่อที่จะออกไป ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

สนทยา 52








มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง? เป็นคนชอบเที่ยว แต่ไม่ชอบกินเหล้า!

     

            คนรอบข้างหลายคนชอบคิดเสมอว่าผมมันเป็นคนชอบเที่ยวชอบไปกินเหล้า
ซึ่งจริงๆแล้วมันถูกก็เพียงครึ่งเดียว... ผมเป็นคน ชอบเที่ยว ครับ
แต่พอผมบอกออกไปว่า "เห้ย จริงๆผมไม่ใช่คนกินเหล้านะ"
คนที่ได้ยินก็มักจะบอกว่า "อมพระมาพูด -ู ก็ไม่เชื่อ  -ึง หรอก!"

          ตอนเด็กๆ 3-4 ขวบ ผมมักจะโดนแกล้งจาก ลุงๆน้าๆ ที่บ้านเป็นประจำ ว่าไอ้ที่แกกินนะเป็นโค้ก
แล้วแกก็ยื่นมาให้กิน แต่พอลิ้นผมสัมผัสกับรสชาติมันเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องบ้วนออกไปทุกครั้ง
เหล้าสำหรับผม มันขมเสมอ แถมมันไม่ได้อร่อยเลยซักนิด และที่ผมเกลียดที่สุดคือการถูกแกล้งว่ามันเป็นโค้ก!
ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่กินมันอีกต่อไป

           จนกระทั่งผมสอบเข้าเตรียมทหาร ความกังวลในเรื่องการกินเหล้ามันก็เพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะการกินเหล้ามันเป็นเหมือนวัฒนธรรมและการเข้าสังคมของทหาร-ตำรวจ(กลุ่มใหญ่) มันเป็นสิ่งที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย...
ผมเคยถามกับ หน.มว. ผมตอนสมัยเป็นนักเรียนใหม่ว่า มันจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะไม่กินเหล้า

...คำตอบก็คือ ไม่...

เพราะทุกคนต้องถูกรับน้องด้วยการกินเหล้าแทบจะทั้งสิ้น
ผมใช้ชีวิต 1 ปี ของการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ที่เชิงอย่างที่สุด
ไม่ว่าใครจะส่งแก้วเหล้ามาให้ผมก็ต้องทำท่าเป็นกิน เททิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นโค้กอยู่ตลอดเวลา

จนมาถึงวันหนึ่งที่ผมเลี่ยงไม่ได้
พี่ชั้นปีที่ 3 กำลังจะจบจาก โรงเรียนเตรียมทหารเพื่อไปขึ้นเหล่า
พี่ชายสายรหัสที่คอยดูแลผมมาตลอด เรียกผมเข้าไปคุยในคืนสุดท้ายก่อนขึ้นเหล่าของพี่
พี่ผมยื่นแก้วกาแฟแก้วใหญ่มาให้ผม ในนั้นบรรจุไปด้วย เพียว 285 เต็มๆแก้ว
ผมไม่อาจปฎิเสธพี่ชายคนนี้ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับเพื่อนหลายๆคนในเรื่องการกินเหล้าเพียวขนาดนี้

แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เลย

พี่บอกผมว่า "หมดรวดเดียวเลยนะ"
ผมใช้เวลาตัดสินใจซักแปปหนึ่ง แล้วกระดกมันขึ้นไป
ความร้อนของมันไม่อาจทำให้ผมกินไปได้รวดเดียวหมด
"พี่ครับเอาจริงๆแล้ว ผมกินไม่เป็น" ผมบอกกับพี่
พี่ผมไม่เชื่อและบอก อย่าเชิงๆ แบบตลกๆ
ผมกระดกอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ และพูดได้เลยว่าผมรู้จักกับความเมาเป็นครั้งแรก!
ผมมึนไปทั้งคืน แถมคืนนั้นมีปลุกหลังจากที่ผมนอนไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง!
แต่ยังดีที่พี่ยังคอยตามมาเซฟผม เพราะรู้ว่าผมน่าจะเมาไม่ไหวแล้ว

          หลังจากคืนนั้นผมผิดคำสัญญากับตัวเองครั้งแรก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมชอบกินหรอกนะ
แต่มันทำให้ผมรู้ว่าผมเมาแล้วเป็นอย่างไร คุมสติยังไง ลิมิตอยู่ที่ไหน
หลังจากนั้นผมก็เที่ยวกับเพื่อนบ่อยขึ้น เนื่องจากขึ้นเป็นชั้นปีที่ 2 แล้ว
ผมไปเที่ยวเอาสนุกและเกลียดการเมาเหมือนเคย
ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในหมู่เพื่อนฝูง พูดคุย ตลกเฮฮาและเต้น
แต่เรื่องเหล้าผมยังเชิงเหมือนเดิม... ผมไม่แคร์ถ้าใครจะคิดว่าเวลาหารเงินแล้วมันไม่คุ้ม
ผมคิดเสมอว่าผมจ่ายเงินไปเพื่อเอาเวลาอยู่กับความสุขและสนุกในหมู่เพื่อนฝูง
แต่ถ้าใครที่สังเกตผมดีๆว่าผมไม่กินและชอบมายัดหรือชนกับผมอยู่เรื่อย ผมก็มักจะเลี่ยง
เอาจริงๆผมชอบเห็นเวลาเพื่อนเมา การคุยกับคนเมาเป็นอะไรที่สนุกมากสำหรับผม
มันมักจะมีเรื่องตลกเสมอเมื่อมีคนเมา... ซึ่งนั่นต้องไม่ใช่ผม!

"ให้คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน"
Mom said.

เกลียดโมเมนท์นี้ที่สุด!!


วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทเรียนจากพี่ต้น






ตอนเป็นนักเรียนใหม่ผมได้ยินชื่อพี่ นรต.ธรรมนูญ ศรีโพธิ์
ครั้งแรกจากปากไอ้แม็คบัดดี้ข้างเตียงผม 
ผู้ซึ่งกระหายอยากจะเข้าชมรมยูโดด้วยกัน

"วันนี้กูเข้ายามไปเจอพี่ชื่อ ธ.ธง อะไรซักอย่าง พี่แกบอกแกเป็น ประธานชมรมยูโด วะ พอรู้ว่ากูจะเข้าแกล้งกูชิบหายเลย มึงหาชื่อพี่เข้าไว้ด้วยนะเว้ย" ไอ้แม็คเล่าเรื่องหลังจากที่มันออกยามมาให้ผมฟัง

          ผมกับมันก็เลยต้องเปิดไล่ชื่อ ธ.ธง จากไดอารี่นรต. ซึ่งชื่อธ.ธงมันก็ช่างมีเยอะเหลือเกิน แล้วแถมมาบอกเป็นประธานชมรมอีก ไม่รู้ว่าโผหลอกรึเปล่า

         เมื่อถึงคราวได้กินขนมชมรม ก็ถึงได้เจอกับพี่ต้นตัวเป็นๆเสียที
พี่ต้นเป็นหนึ่งในพี่จอมแกล้งและฝืดคนหนึ่ง (แถมต่อยหนักอีกต่างหาก!)
เพื่อนๆ รวมถึงผมด้วยเลยลงมติว่าเกลียดแกมากที่สุดในขณะนั้น
ไม่วายแม้แต่ตอนที่ได้ซ้อมบนเบาะแล้ว
เพราะทุ่มแกได้ยากมาก ด้วยลักษณะตัวที่ตันๆป้อมๆ จับก็ยาก เล่นซ้ายอีกต่างหาก
พวกน้องๆปี 1 อย่างผมก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ แถมซ้อมเสร็จต้องมากระดานแถวเดียวประจำวัน
โดนแกแต่ละทีกระเด็นไปสามถึงสี่ก้าว


"ถ้าแค้นกันมากก็เอาคืนกันบนเบาะ!" 
พี่ต้นมักจะพูดคำนี้เสมอ และมันเป็นเหมือนมอตโต้ประจำชมรมยูโดไปเสียแล้ว

         จนถึงวันหนึ่งที่ผมเริ่มทุ่มแกได้ด้วยคำพูดของแก ผมดีใจมากและสะใจมากในเวลาเดียวกัน
ที่ผมทุ่มพี่ชั้น 4 คนที่น้องชั้น 1 หมายหัวไว้ว่าต้องแก้แค้นให้ได้! 
และผมเหมือนเป็นตัวแทนรุ่นได้ทุ่มแกแล้ว! 
หลังจากนั้นเพื่อนๆ ก็เริ่มทุ่มพี่ต้นได้บ้าง เพราะซ้อมและเล่นด้วยกันทุกวัน
"พวกมึงเล่นกันแรงวะ ไหล่กูหลุดอีกแล้ว" หลังๆพี่ต้นมักบ่นอย่างนี้เสมอ 
มันฟังดูเหมือนข้ออ้าง เลยทำเอาน้องๆเซงไปตามกัน
"พี่ต้นแม่ง !@#$%" บ่อยครั้งที่พี่ต้นบ่นแบบนั้น มักจะมีน้องบ่นตามมาต่างๆนาๆ

           อยู่มาวันหนึ่งวันที่ได้พบเจอกับพี่เจ 57 เป็นครั้งแรก และต้องมาทำท่านั่งม้า หรือที่เราเรียกกันว่าท่าขับมอไซค์ ความลำบากของท่ามันไม่ได้อยู่ที่การทำหรอก... 
แต่มันอยู่ที่ "ยุง" ที่เบาะยูโดนี่แหละ มันมหาศาลมากจริงๆ
แล้วต้องอยู่เฉยๆห้ามขยับเป็นอะไรที่ทรมานมาก
พี่ต้นคนเดิมมาพร้อมกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ
ในใจคิด "พี่ต้นแม่ง !@#$ แค่นี้กูก็จะตายอยู่ละยังจะมาแกล้งกูอีกหรอ!?"  
แต่ผิดถนัด! พี่ต้นมาพร้อมกับยากันยุงและผ้าผืนเล็กๆของแกคอยไล่ยุงที่มันคอยกัดจนเท้าทั้ง 2 ข้างมันแดงไปหมดแล้ว น้องชั้น 1 ทั้ง 14 คน แกคอยดูแลและไล่ปัดให้ทุกคน 
แกเป็นดั่งพ่อพระในวันนั้นที่น้องๆต้องส่งสายตาอ้อนวอนให้พี่ต้นมาปัดยุงให้
ในวันที่เลิกช้า แล้วกลับมากองร้อยไม่ทันเวลา
แกมักบอกกับผมเสมอว่า "ถ้ามีปัญหากับผู้ช่วยให้มาบอกกู" ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่อยากมีปัญหาอะไรกับผู้ช่วยหรอก มาช้าทีไรก็โดนยามโทษเป็นปกติ 
(แบบนี้คงไม่เรียกว่ามีปัญหากับผู้ช่วยเนาะ)
แกมักพูดเสมอๆว่าเมื่อไหร่ที่มีปัญหาอะไรกับใครให้มาหาแก
ซึ่งพวกเราก็รู้กันอยู่แล้วว่าพี่ต้นแกเป็นอย่างไร แต่ก็ซึ้งใจในความเป็นห่วงของพี่เสมอ
ในวันที่พี่ต้นจบ พี่ต้นก็ยังไม่ลืมที่จะบอกกับน้องๆว่า
"พวกมึงจำไว้ ถ้าพวกมึงโดนตัดแต้มอย่าไปซีเรียส มีปัญหาอะไรให้โทรหากู"
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มเจอพี่ต้นน้อยลง 
อาจจะเจอที่ โรงเรียนบ้างเพราะแกมาธุระอะไรบางอย่าง
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งผมขึ้นมาเป็นชั้นปีที่ 4 ผมก็ได้เข้าใจในอะไรหลายๆอย่างที่พี่ต้นแกได้ทำลงไป ที่ฝืดกับน้องเพื่อคุมน้องให้ได้ ที่ไม่ปล่อยพี่ชั้น 2 เพื่อให้ยูโดยังคงระบบชมรมพี่ดูแลน้องเอาไว้
ที่ต้องดูแลน้องในวันที่น้องมีปัญหาต่างๆ 
ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่เคยได้ทำไว้มันย้อนคืนมาหมดเลยนะ
.
.
.
.
.
จนถึงวันที่พี่ๆไลน์มาบอกว่า พี่ต้นประสบอุบัติเหตุรถชน
ตอนแรกก็คิดว่าแข็งแกร่งแบบยูโดคงไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ
แต่ผิดคาด...
พี่ต้นต้องจากไปเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว 
ถึงแม้ว่าหมอจะยื้อมาได้ซักระยะเวลาหนึ่งก็ตาม
ไลน์ชมรมยูโด 69 เด้งขึ้นมาตอน 10 โมง ว่าพี่ต้นเสียแล้ว ศพตั้งอยู่ที่วัดหัวหิน
ไม่มีใครลังเลที่จะไม่ไปหาพี่...
พี่ชายที่แม้ว่าน้องทั้งชมรมเคยคิดเกลียดพี่...
บ่ายวันนั้นพวกเรานั่งรถตู้เพื่อไปหาพี่เป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อพวกเราไปถึง ญาติของพี่ต้นพาเราเข้าไปไหว้ศพพี่ที่หน้าโลง
รูปของพี่ต้นยังเป็นรูปที่พี่ต้นเล่นเบสอย่างมีความสุข...


ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาพบพี่อีกครั้งในรูปแบบนี้
ในงานนี้ทำให้พวกผมได้พบกับพ่อและแม่ของพี่ต้นเป็นครั้งแรก
พ่อพอทำใจได้แล้ว แต่แม่ไม่ใช่เลย
สีหน้าของแม่ราวกับจะแตกสลาย...
พ่อบอกว่า พ่อกับแม่ทานอะไรไม่ลงมาหลายวันแล้ว
บ่อยครั้งในขณะที่พระสวด
แม่มักจะทำใจไม่ได้ ถึงกับต้องให้คนพาเดินออกมานั่งข้างนอก
ผมคิดถึงแม่ผมทันที และมันเป็นภาพที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับครอบครัวไหนอีกเลย...

ในงานพวกผมช่วยกันต้อนรับแขก จัดเก้าอี้ และเสิร์ฟน้ำ
แบ่งเบาภาระให้กับผู้ใหญ่ และเพื่อทำอะไรให้พี่ต้นเป็นครั้งสุดท้าย
พวกผมจับกลุ่มคุยกันขณะรอเสิร์ฟน้ำ
"กูแม่งยังจำคำพูดแกได้อยู่เลยวะ ที่แกบอกว่าพวกมึงโดนตัดแต้มอย่าไปซีเรียส มีปัญหาอะไรให้โทรหากู" ไอ้นัทพูด
"กูแม่งคิดในใจว่า ไม่มีใครมาตัดแต้มกูได้หรอก จนถึงวันก่อน โดนไปแล้วเรียบร้อย 5 แต้ม... กูแม่งนึกถึงคำพูดแกขึ้นมาทันทีเลย" ไอ้นัทพูดติดตลก แต่ทุกคนจำได้ดีถึงคำๆนี้ที่พี่ต้นเคยพูดเอาไว้
จริงๆพวกเราก็คุยกันเรื่องเก่าๆที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับพี่ต้นมาตลอดทั้งงาน
เมื่อพิธีต่างๆเป็นอันเสร็จเรียบร้อย 
พวกเราช่วยเคลียร์สถานที่ต่างๆจนจบงาน
ก่อนกลับพวกเราไปลาพี่ต้นและพ่อกับแม่
"พ่อขอบใจมากนะลูกที่มาช่วยงานกัน และเอาเรื่องของพี่ต้นเป็นบทเรียนนะลูก
ขับรถก็ให้คาดเข็มขัด แล้วก็อย่าไปขับเร็วมาก วันนั้นพี่เขารีบไปเอาสำนวนเพื่อมาทำคดี

เลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น " พ่อพูดกับพวกเรา พร้อมกับอวยพรให้พวกเรากลับโรงเรียนอย่างปลอดภัย
แม่ยังไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นเคย ได้เพียงแต่ส่งสายตาอันว่างเปล่าให้
.
.
พวกเรากลับขึ้นรถตู้ที่พี่ช้าง 52 จัดหามาให้เพื่อที่จะกลับโรงเรียน
"พวกมึงสัญญากับกูนะว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับรุ่นเรา" มิวพูดขึ้น
"มันจะต้องไม่มีวันเกิดขึ้นกับรุ่นเรา" ผมตอบ

.
.
รถตู้เคลื่อนออกจากวัด ความเงียบภายในรถทำให้ผมได้ทบทวนอะไรบางอย่าง


"อะไรบางอย่างที่ทำให้ผมกลับมาเขียนถึง 
บทเรียนสุดท้ายจากพี่คนนี้"



บทเรียนราคาแพง ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีกเลย
สนทยา 52