"ตรู๊ด...
ตรู๊ด...
ตรู๊ด...
ไม่มีสัญ.."
ผมกดวางสายจากโทรศัพท์ของผม บางทีมันอาจจะเช้าเกินไปสำหรับเธอ ผมก็คิดอยู่แล้วว่าเธอคงไม่ตื่น และก็เป็นเช่นนั้น ผมไม่ใช่คนเซ้าซี้อะไร แม้จะอยากคุยแค่ไหนก็ตาม
วันนี้จะเป็นวันแรกที่ผมได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วเตรียมทหาร มันอาจจะผิดคาดไปมากจากที่ผมเคยหวังไว้ ไม่ใช่เรื่องโรงเรียนหรอกนะ แต่เรื่องการมาเป็นนี่แหละ แม้ผมจะทุ่มเทให้กับการสอบเป็นนักเรียนนายร้อยก็จริง แต่ผมก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ เรื่องตลกที่สุดเลยก็คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเข้าโรงเรียนเตรียมทหารก่อน 3 ปี ก่อนที่จะได้เป็นนักเรียนนายร้อยห้อยกระบี่อีก 4 ปี
แม่บอกผมว่าการเรียนมันก็เหมือนกับเรียน ร.ด. นั่นแหละลูก กลางวันเรียนเย็นฝึก ขำๆ
ผมเป็นลูกที่ดีของแม่ ดังนั้นแล้วการเชื่อฟังคำของแม่มันก็เป็นเรื่องปกติ
และผมไม่ได้โอดครวญอะไรมากกับการเรียน ร.ด. เพราะมันก็สนุกดี ฝึกแปปเดียวเดียวก็เลิก ไม่เห็นจะต้องไปฝึกอะไรมากมาย เหนื่อยนิดเหนื่อยหน่อยผมทนได้อยู่แล้ว
ผู้คนมากหน้าหลายตามารวมกัน กางเกงต่างสี หัวเข็มขัดต่างโรงเรียน นับว่าโรงเรียนนี้ยังมีความปรานีอยู่บ้างที่ไม่จำเป็นให้นักเรียนต้องไปตัดกางเกงมาเป็นสีเดียวกันหมด เพราะตอนนี้มองไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับลูกกวาด เสื้อสีขาว กางเกงหลากสี...นี่มันทอฟฟี่ชัดๆ!
ผมถูกนำตัวมารวมแถวที่ลานหน้ากองพัน ผมมีความรู้อยู่บ้างจากการแบ่ง หมวด กองร้อย กองพัน จากการเรียน ร.ด. แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้เลยว่ามันเป็นตึกกองพันแน่ๆ เพราะว่าบนตึกมันเขียนตัวใหญ่ๆว่า
ความรู้สึกแรกที่ผมได้มาอยู่ในแถว ผมตื่นเต้นมากที่ได้มาอยู่กับเพื่อนใหม่ๆพร้อมกับบรรยากาศของโรงเรียนที่ชวนให้น่าเรียนอย่างมาก หน้าตาของนักเรียนบังคับบัญชาที่มารับตัวพวกผมก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและการวางตัวก็ดีมากๆ มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแสนอบอุ่นของโรงเรียนนี้
ผมมีกำลังใจมากขึ้น ปลอบใจตัวเองเบาๆ ว่าการฝึกมันคงไม่หนักเท่าไหร่ มันคงไม่เกินกว่าที่คนหนึ่งคนจะรับได้หรอก
ในตอนนี้ผู้ปกครองและญาติๆยืนอยู่ด้านหน้าของแถว ของพวกผม มันถูกกั้นด้วยแท่นเล็กๆ ที่ตอนนี้มี นักเรียนบังคับบัญชาขึ้นไปกล่าวต้อนรับพวกผมอยู่
พวกผมถูกเรียกว่านักเรียนใหม่ เป็นคำที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเข้ามาใหม่ก็ต้องเป็นนักเรียนใหม่
เมื่อกล่าวชี้แจงเบื้องต้นเสร็จ ทางผู้บังคับบัญชา ก็ได้ให้โอกาสนักเรียนและผู้ปกครองขึ้นไปเก็บของที่โรงนอน รายชื่อของผมอยู่ตึก
"พัน. 2 ร้อย. 3"
ห้องหนึ่งนอนกัน 12 คน เตียงเป็นเตียงเดี่ยวแต่เตียงแทบจะติดกัน มีโต๊ะอยู่บนหัวเตียงหนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งหลัง มองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้องเป็นแนวชายป่าเขาของโรงเรียน
ผมจัดของและพูดคุยกับพ่อและแม่ผมซักพัก ผมต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่าที่สุด เพราะทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้มีโทรศัพท์ไว้ใช้ ไม่ให้ติดต่อใดๆทั้งสิ้นกับโลกภายนอก
พ่อให้ผมเก็บน้ำผึ้งหลอดจิตลดาเอาไว้ แม้จะรู้ว่าไม่อนุญาตให้มีของทานเล่นและขนมต่างๆ
"เก็บไว้เป็นยา อย่าคิดว่ามันเป็นขนม กินตอนหมดแรง น้ำผึ้งช่วยได้เยอะ"
ผมฟังคำพ่อ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ผิดในใจผม เพราะผมไม่ชอบทำผิดกฎ แต่น้ำผึ้งหลอดถ้าดูผิวเผินมันแทบไม่ต่างอะไรกับหลอดยาสีฟัน
เสียงนกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญานที่บอกให้ผมต้องกลับไปรวมแถวอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มันเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆแล้วที่จะได้พบหน้าพ่อแม่ ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานนับเดือน
ผมกลับมารวมแถวอีกครั้ง พร้อมกับทำพิธีกล่าวคำอำลาเล็กน้อย จากตัวแทนนักเรียน
พวกผมนั่งคุกเข่า พนมมือเพื่อกราบลาผู้ปกครองเป็นครั้งสุดท้าย
"พ่อครับแม่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมจะตั้งใจฝึกอยู่ที่นี่ ทั้งหมดกราบ"
พวกผมกราบลงไปที่พื้นดิน มันคงเป็นภาพที่น่าขนลุกที่คนกว่า 500 คน กราบลงบนพื้นพร้อมกัน และมันคงเป็นภาพที่หาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว นอกจากโรงเรียนแห่งนี้
ใจผมหวิวเล็กน้อย แม้ว่าผมจะโตมาด้วยตัวคนเดียวตลอด ไม่ใช่คนติดพ่อติดแม่ แต่เมื่อคิดในมุมที่ต้องห่างไกลคนที่ผูกพันกันทุกวัน
"ทั้งหมดลุก"
วันนี้จะเป็นวันแรกที่ผมได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วเตรียมทหาร มันอาจจะผิดคาดไปมากจากที่ผมเคยหวังไว้ ไม่ใช่เรื่องโรงเรียนหรอกนะ แต่เรื่องการมาเป็นนี่แหละ แม้ผมจะทุ่มเทให้กับการสอบเป็นนักเรียนนายร้อยก็จริง แต่ผมก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ เรื่องตลกที่สุดเลยก็คือ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเข้าโรงเรียนเตรียมทหารก่อน 3 ปี ก่อนที่จะได้เป็นนักเรียนนายร้อยห้อยกระบี่อีก 4 ปี
...ผมไม่รู้อะไรเลย...
แม่บอกผมว่าการเรียนมันก็เหมือนกับเรียน ร.ด. นั่นแหละลูก กลางวันเรียนเย็นฝึก ขำๆ
ผมเป็นลูกที่ดีของแม่ ดังนั้นแล้วการเชื่อฟังคำของแม่มันก็เป็นเรื่องปกติ
และผมไม่ได้โอดครวญอะไรมากกับการเรียน ร.ด. เพราะมันก็สนุกดี ฝึกแปปเดียวเดียวก็เลิก ไม่เห็นจะต้องไปฝึกอะไรมากมาย เหนื่อยนิดเหนื่อยหน่อยผมทนได้อยู่แล้ว
ผู้คนมากหน้าหลายตามารวมกัน กางเกงต่างสี หัวเข็มขัดต่างโรงเรียน นับว่าโรงเรียนนี้ยังมีความปรานีอยู่บ้างที่ไม่จำเป็นให้นักเรียนต้องไปตัดกางเกงมาเป็นสีเดียวกันหมด เพราะตอนนี้มองไปก็แทบไม่ต่างอะไรกับลูกกวาด เสื้อสีขาว กางเกงหลากสี...นี่มันทอฟฟี่ชัดๆ!
ผมถูกนำตัวมารวมแถวที่ลานหน้ากองพัน ผมมีความรู้อยู่บ้างจากการแบ่ง หมวด กองร้อย กองพัน จากการเรียน ร.ด. แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้เลยว่ามันเป็นตึกกองพันแน่ๆ เพราะว่าบนตึกมันเขียนตัวใหญ่ๆว่า
"พัน. 2 ร้อย. 1"
ความรู้สึกแรกที่ผมได้มาอยู่ในแถว ผมตื่นเต้นมากที่ได้มาอยู่กับเพื่อนใหม่ๆพร้อมกับบรรยากาศของโรงเรียนที่ชวนให้น่าเรียนอย่างมาก หน้าตาของนักเรียนบังคับบัญชาที่มารับตัวพวกผมก็ยิ้มแย้มแจ่มใสและการวางตัวก็ดีมากๆ มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันแสนอบอุ่นของโรงเรียนนี้
ผมมีกำลังใจมากขึ้น ปลอบใจตัวเองเบาๆ ว่าการฝึกมันคงไม่หนักเท่าไหร่ มันคงไม่เกินกว่าที่คนหนึ่งคนจะรับได้หรอก
ในตอนนี้ผู้ปกครองและญาติๆยืนอยู่ด้านหน้าของแถว ของพวกผม มันถูกกั้นด้วยแท่นเล็กๆ ที่ตอนนี้มี นักเรียนบังคับบัญชาขึ้นไปกล่าวต้อนรับพวกผมอยู่
พวกผมถูกเรียกว่านักเรียนใหม่ เป็นคำที่เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเข้ามาใหม่ก็ต้องเป็นนักเรียนใหม่
เมื่อกล่าวชี้แจงเบื้องต้นเสร็จ ทางผู้บังคับบัญชา ก็ได้ให้โอกาสนักเรียนและผู้ปกครองขึ้นไปเก็บของที่โรงนอน รายชื่อของผมอยู่ตึก
"พัน. 2 ร้อย. 3"
ห้องหนึ่งนอนกัน 12 คน เตียงเป็นเตียงเดี่ยวแต่เตียงแทบจะติดกัน มีโต๊ะอยู่บนหัวเตียงหนึ่งตัว และตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งหลัง มองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้องเป็นแนวชายป่าเขาของโรงเรียน
ผมจัดของและพูดคุยกับพ่อและแม่ผมซักพัก ผมต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้มีค่าที่สุด เพราะทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้มีโทรศัพท์ไว้ใช้ ไม่ให้ติดต่อใดๆทั้งสิ้นกับโลกภายนอก
พ่อให้ผมเก็บน้ำผึ้งหลอดจิตลดาเอาไว้ แม้จะรู้ว่าไม่อนุญาตให้มีของทานเล่นและขนมต่างๆ
"เก็บไว้เป็นยา อย่าคิดว่ามันเป็นขนม กินตอนหมดแรง น้ำผึ้งช่วยได้เยอะ"
ผมฟังคำพ่อ แม้มันจะเป็นเรื่องที่ผิดในใจผม เพราะผมไม่ชอบทำผิดกฎ แต่น้ำผึ้งหลอดถ้าดูผิวเผินมันแทบไม่ต่างอะไรกับหลอดยาสีฟัน
เสียงนกหวีดดังขึ้น เป็นสัญญานที่บอกให้ผมต้องกลับไปรวมแถวอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มันเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆแล้วที่จะได้พบหน้าพ่อแม่ ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีกนานนับเดือน
ผมกลับมารวมแถวอีกครั้ง พร้อมกับทำพิธีกล่าวคำอำลาเล็กน้อย จากตัวแทนนักเรียน
พวกผมนั่งคุกเข่า พนมมือเพื่อกราบลาผู้ปกครองเป็นครั้งสุดท้าย
"พ่อครับแม่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผม ผมจะตั้งใจฝึกอยู่ที่นี่ ทั้งหมดกราบ"
พวกผมกราบลงไปที่พื้นดิน มันคงเป็นภาพที่น่าขนลุกที่คนกว่า 500 คน กราบลงบนพื้นพร้อมกัน และมันคงเป็นภาพที่หาจากที่ใดไม่ได้อีกแล้ว นอกจากโรงเรียนแห่งนี้
ใจผมหวิวเล็กน้อย แม้ว่าผมจะโตมาด้วยตัวคนเดียวตลอด ไม่ใช่คนติดพ่อติดแม่ แต่เมื่อคิดในมุมที่ต้องห่างไกลคนที่ผูกพันกันทุกวัน
"ทั้งหมดลุก"
"ขอทดสอบแรงกายของนักเรียนใหม่รุ่นนี้หน่อย... ทั้งหมดกลับหลังหัน! ฝั่งตรงข้ามของนักเรียนคือกองพันนักเรียนที่ 4 ให้เราวิ่งไปแตะดอกเข็มหน้ากองพันแล้ววิ่งกลับมาให้เร็วที่สุด... ไปได้!!" นายทหารท่านหนึ่งออกคำสั่ง
ผมออกวิ่งด้วยความเร็วสุดแรงของผม คนอื่นๆก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเราจะตั้งใจวิ่งแต่ก็มีหัวเราะกันบ้าง ยิ้มกันบ้าง คงเป็นเพราะว่ามันเป็นครั้งแรกที่ถูกสั่งให้ออกวิ่งกันแบบนี้ แบบที่มีคนยืนออกคำสั่งต่อหน้ากลุ่มผู้ปกครองเป็นร้อยๆท่าน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพอควร...
ระยะทางไป-กลับประมาณ 200 เมตร มันก็ไม่ได้ทำให้คนที่เตรียมแรงกายมาบ้างแล้วเหนื่อยหอบซักเท่าไหร่...
ผมกลับมายืนในที่เดิม จัดแถวอยู่ในรูปแบบเดิม หลายคนหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากตั้งใจวิ่งไปหน่อย
"ผู้ปกครองทุกท่านคงเห็นความแข็งแรงของนักเรียนลูกๆของท่านแล้วนะครับต่อไปนี้ให้สบายใจได้ บุตรหลานของท่านเราจะดูแลและฝึกให้เป็นนายทหาร-นายตำรวจที่ดี ขอเชิญผู้ปกครองทุกท่านกลับได้ครับ หลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของนายทหารนายตำรวจและคอมแมนด์ทุกคนเอง" เสียงของนายทหารท่านหนึ่งซึ่งสวมเครื่องแบบชุดทหารเรือ คราวนี้ผมคาดว่าน่าจะเป็นผู้บังคับกองพันเนื่องจากว่า เป็นคนที่ดูอาวุโสที่สุดของนายทหาร-ตำรวจแล้ว แม้ว่าผมยังดูยศเครื่องหมายของทหารเรือไม่เป็น แต่จากกระดานบ่าขีดเยอะๆมันก็น่าจะเดาได้ง่ายๆอยู่แล้วว่าตำแหน่งต้องสูง
ผมสังเกตเห็นผู้ปกครองบางท่านร้องไห้ในขณะที่กำลังจะเดินกลับไป อาจารย์ที่ค่ายติวเคยบอกกับผมว่า ลูกบางคนไม่เคยออกห่างจากพ่อจากแม่เลย มันจะเป็นอย่างไรกันละถ้าวันหนึ่งต้องรู้ว่าลูกจะต้องไปพบกับความยากลำบาก รู้ว่าต้องเหนื่อย ต้องถูกบังคับต่างๆเพื่อให้การฝึกนั้นสำเร็จ จะกินอย่างไร นอนอย่างไร อยู่อย่างไร หัวอกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ แค่คิดก็น้ำตาจะไหลแล้ว...
ผมมองหาพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย... มองจนกระทั่งท่านหายไปจากสายตา...