วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

น้ำตาแห่งการเริ่มต้น

             และวันแห่งการรอคอยที่จะได้พบหน้าพ่อแม่ก็มาถึง... วันนี้ทุกคนอาบน้ำแต่งตัวทาแป้งเรียบร้อย หอมมากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้พบหน้าผู้ปกครองและบางคนที่พิเศษหน่อยก็จะมีคนรู้ใจมาเยี่ยมในวันนี้ เพื่อนทุกคนหน้าตาเบิกบาน ไม่มีวี่แววของความเศร้าหมองแม้แต่น้อยในห้วงเวลานี้ ผมเองก็เช่นกัน

             แม้ว่าในความรู้สึกของผมอาจจะไม่ได้มากมายเท่ากับคนอื่นๆ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีที่ผมจะได้พบหน้าคนที่คอยเป็นห่วงผมมาตลอดเวลาที่ผมได้อยู่ในที่แห่งนี้ โดยที่ผมไม่มีสิทธิที่จะส่งข่าวใดๆได้เลย


"ปรี๊ดดดดดดดด!"


คงไม่มีเสียงนกหวีดเรียกรวมแถวใด ที่จะลงรวมแถวกันด้วยความเต็มใจกันขนาดนี้อีกแล้ว


"การปฎิบัติตัวในวันนี้ ขอให้พวกเราปฎิบัติตัวให้ดี ให้ผู้ปกครองทุกท่านเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่เราอยู่ในที่แห่งนี้ เราได้เปลี่ยนแปลงตนเองไปแล้ว!" หน.กองร้อย ออกมาพูดเน้นย้ำการปฎิบัติตัวของนักเรียนใหม่ แต่ก็เชื่อได้เลยว่าใจทุกคนตอนนี้อยู่ที่ผู้ปกครองกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะพูดอะไรก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเสียหมด



              หลังจากชี้แจงเสร็จก็จัดแถวแยกตามตอนเรียน เพื่อเดินไปยังโรงเลี้ยง อันเป็นที่ที่สำหรับจัดไว้เพื่อการเยี่ยมญาติ ตลอดทางเดินผู้ปกครองมากมายเต็มสองข้างทาง ต่างก็พยายามมองหาลูกของตน บางคนตะโกนเรียกชื่อลูกของตนเพื่อที่จะได้รู้ว่าอยู่ตรงไหน เพื่อนบางคนได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองแล้ว แต่เนื่องจากอยู่ในแถว ก็ไม่สามารถที่จะตะโกนตอบกลับไปได้ แม้ใจจะอยากเพียงใดก็ตาม

            ผมเองก็พยายามที่จะมองหาพ่อแม่ของผมเช่นกัน แต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆให้เห็นเลย
ผมใจเสียเล็กน้อย แต่ก็คิดในแง่ดีว่า พวกเขาอาจจะรออยู่ข้างหน้า เมื่อแถวของนักเรียนพร้อมกันหมดแล้ว นายทหารก็สั่งให้ฉากรอไว้ หลังจากนั้นพิธีกรก็ชี้แจงว่า แถวไหนเป็นตอนอะไร แล้วให้เดินเข้าไปหาลูกๆได้เลย

            ผมนั่งรอจนเพื่อนๆที่มีพ่อแม่มาเยี่ยมรับตัวไปเกือบหมด อาจจะพูดได้ว่าเป็นสิบคนสุดท้ายของในตอน ลานเริ่มว่างเปล่า มีแต่ผู้ปกครองเดินไปมากับลูกๆของตน เพื่อนที่ยังไม่มีผู้ปกครองมารับแต่ละคนเริ่มใจเสีย หันซ้ายหันขวา พยายามมองหาพ่อแม่ของตน ผมเองก็ชะเง้อมองแต่ก็ไม่มีวี่แววใดๆอีกเช่นเคย

           ผมก้มหน้า ถอนหายใจกับตัวเอง และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าแม่จะไม่มา แต่มันคงเช้าเกินไปแม่อาจจะมาไม่ถึง...


"โค้ช ลูก"

            เสียงของแม่ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม ผมหันกลับไปหาตามเสียงเรียก ผมเห็นแม่ยืนอยู่หลังแถวพร้อมกับพ่อ น้าสาว ตา ยาย และน้องชาย

            ผมยืนขึ้น พูดอะไรไม่ออก แม่เองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ได้แต่เพียงมองผมด้วยความประหลาดใจ ผมสำรวจตัวเองว่าผมมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แต่เมื่อผมมองไปยังเสื้อของผม ผมก็เข้าใจได้ในทันที

            ในวันสุดท้ายที่ผมได้พบกับแม่คือวันแรกของการเข้ามาในรั้วโรงเรียนแห่งนี้ เสื้อของผมเป็นเสื้อตัวใหม่ ขาวสะอาดและพอดีตัวของผม มาวันนี้... มันเปรอะเปื้อน จากคราบที่เกิดจากการฝึกต่างๆ บางรอยประทับอยู่บนเสื้อและทำให้มันหมองลง เสื้อที่เคยพอดีตัวตอนนี้กลับหลวม กางเกงเองก็ไม่ต่างอะไรกับเสื้อมากนัก สีน้ำเงินที่เคยสดกลับหมอง และเห็นได้ชัดว่า ถ้าหากไม่มีเข็มขัดที่เกือบจะวนรอบเอวครบสองรอบรัดไว้อยู่ มันก็คงจะหลุดได้อย่างง่ายดาย ผิวที่ดำเมี่ยมจากการตากแดดเป็นแรมเดือนและกลิ่นเหงื่อที่เหม็นติดเสื้อ แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรได้อีก...



แม่เข้ามาสวมกอดผมและร้องไห้

ผมเองแม้เป็นคนใจแข็งและไม่ใช่คนที่ร้องไห้ให้กับอะไรง่ายๆ แต่มันก็ไม่อาจทนความรู้สึกของแม่ที่มีต่อผมได้


น้ำตาของผมไหลออกมา แม้ว่าร่างกายและจิตใจจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม...

         ผมเช็ดน้ำตาแม่และบอกแม่ว่าไม่ต้องร้องไห้ ทั้งๆที่ผมเองก็ร้องไห้เช่นกัน

"โค้ชทำสำเร็จแล้วลูก" แม่พูดพร้อมทั้งน้ำตา

         ผมยิ้มรับ...แม้ภายในใจจะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงการเริ่มต้น ยังมีความลำบากอีกมากมายที่ผมยังต้องเผชิญอีกในวันข้างหน้า

        แต่มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นความสำคัญของบ้านและครอบครัวขนาดนี้ เพราะไม่ได้มีเพียงแต่แม่ที่มีความรู้สึกเป็นห่วงผม แต่เป็นทุกๆคนที่มาอยู่ตรงนี้

คอยผลักเรา คอยถีบเรา คอยให้กำลังใจเรา
เราเองซึ่งเป็นความหวังของเขา ก็ไม่อยากทำให้เขาเสียใจ อย่าทำให้เขาลำบากใจ อย่าทำให้เขาเป็นกังวลไป มากกว่านี้เลย...          ผมพาครอบครัวของผมเข้าไปนั่งในโรงเลี้ยง พูดคุย ถามสารทุกข์สุขดิบ และนั่งกินขนม แม้ว่าแม่ผมจะไม่ได้ซื้อของตามที่ผมได้เคยขอไว้ตอนโทรไปแจ้งผู้ปกครองถึงวันเยี่ยมญาติ แต่มันคงไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะผมมีสิ่งที่สำคัญกว่าอยู่ด้วยกันตรงนี้

        ผมขอโทรศัพท์ของผมจากแม่เพื่อโทรหาใครอีกคนที่ผมคิดถึงมาตลอดทั้งเดือน ...

คนที่ทำให้ผมถีบตัวเองจนมายืนอยู่ตรงจุดนี้...


"ฮัลโหล..."

"โค้ชหรอ!? เป็นไงบ้าง? โทรมาได้ไงเนี่ย? ไม่ได้ฝึกอยู่หรอ?"

"ก็สบายดี วันนี้วันเยี่ยมญาตินะ พ่อแม่มาเยี่ยมเราเลยขอโทรศัพท์จากแม่โทรมาหาเธอ นี่โทรมาหาด้วยความคิดถึงเลยนะเนี่ย!" ผมพูดติดตลก

"จริงหรอ...แล้วโทรมาหาเราคนแรกเลยรึเปล่าาา?"

"...เปล่าหรอก..."  ผมโกหกเธอออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ตอนนั้นผมแทบอยากจะทุบโต๊ะให้พัง เพราะไม่เข้าใจว่าจะโกหกเธอไปทำไม

"แย่จังเลยเนาะ..." เธอเสียงเศร้าเล็กน้อย

"แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่สำคัญซักหน่อย" ผมพูดแก้สถานการณ์ แต่มันคงไม่ทันแล้ว...

เราคุยกันอีกซักพัก แต่คุยได้ไม่นานเพราะที่นั่งของผมติดกับลำโพง เสียงจากลำโพงดังมากเสียจนผมคุยโทรศัพท์ไม่รู้เรื่อง

"มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก
กับการที่ได้ยินเสียงของเธออีกครั้ง แม้มันจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ"

คำให้กำลังใจของเธอมีผลทำให้ผมมีความหมายที่จะยังอยู่ในโรงเรียนนี้ต่อไปเป็นอย่างมาก

          หลังจากนั้นผมพาครอบครัวไปเที่ยวซื้อของที่สโมสรนักเรียนโดยทางโรงเรียนได้จัดรถไฟให้ ซึ่งที่จริงมันก็คือรถพ่วงนี่แหละ แต่พ่วงด้วยตู้นั่งหลายตู้ ทาด้วยสีสี่เหล่า น่ารัก น่านั่งมาก

          ผมกินทั้งวันตามคอนเซปของการเยี่ยมญาติ และไม่ลืมที่จะนำของฝากไปให้เหล่าคอมแมนด์ที่คอยนั่งเป็นประชาสัมพันธ์ให้เวลานี้

          และเวลาแห่งความสุขก็หมดลง... นกหวีดเรียกรวมดังขึ้นที่หน้าโรงเลี้ยง ผมยกมือไหว้ทุกคน กล่าวคำอำลา และกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงของผมอีกครั้งหนึ่ง.

"ผมรู้ว่าในวันนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นเพียงขวากหนามกองเล็กๆที่ผมเพิ่งผ่านพ้นไป ผมเหลือเวลาในการฝ่าฟันความลำบากอีก 7 ปี ผมรู้ว่ามันจะต้องทรมาน แต่ในเมื่อเส้นทางนี้มันทำให้ใครหลายคนที่ผมรักสบายใจ ผมก็จะขอก้าวไปอย่างไม่ลังเล"





""

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยยย....พอถึงท่อนโทรหา ผญ. เท่านั้นแหละ หมดเลยย..... ทำให้เรารู้ว่าความรักของพ่อแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด

    ตอบลบ