วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รีวิว Mission Impossible 5 : Rouge Nation บ่นยาวๆ ใครไม่ได้ดูมาก่อนขอเตือน!!

           อาจจะเป็นคนวิจารณ์หนังไม่เก่งนะครับ แต่จะขอพูดและใช้สำนวนตามที่ตัวเองเข้าใจ
สำหรับหนัง Mission Impossible 5 : Rouge Nation เป็นหนังที่ตั้งหน้าตั้งตารอดูเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งเพราะอยากมาดูพ่อพระเอก Tom Cruise ที่ถึงแม้ว่าอายุจะปาเข้าไปแล้ว 50 ก็ตาม และส่วนหนึ่งก็จากที่ติดใจมาจากฉากภาค 4 ที่ทำให้ผมถึงกับตั้งหน้าตั้งตารอภาค 5 ด้วย คำว่า Mission Impossible ของจริง!




            ฉากแรกเปิดมาด้วยฉากเครื่องบินที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดังเพราะพี่ทอม ครูซสุดหล่อของเรา ลงทุนเกาะเครื่องบินเล่นบทเสี่ยงตายนี้ด้วยตัวเอง! ผมได้ดูเบื้องหลังที่พี่แกไปเกาะอยู่ข้างเครื่องบินมาหลายต่อหลายรอบ เพราะปลื้มว่ามันเจ๋ง  ...แต่พอมาดูจริงแล้วเฉยๆ... อาจจะเป็นเพราะผมมองว่ามันดูไม่สมเหตุสมผลก็เป็นได้ แต่ถามว่ามันตื่นตาตื่นใจแล้วตื่นเต้นไหม? ผมบอกเลยว่ามาก (สำหรับคนที่ไม่ได้ดูเบื้องหลังมาก่อน)

            ฉาก Intro credit ผมนึกถึงของเจมส์บอนด์ภาคไหนจำไม่ได้ที่ใช้ ชนวนระเบิดเช่นกัน แต่บอกเลยว่าของเขาดูคลาสสิคกว่าเยอะ คือ MI5 มันดูงงๆ เร็วๆ ยังไงไม่รู้ ทำให้มันเเหมือนกับว่าผมไม่รู้จะดูอะไรจากฉากนี้ เหมือนไม่มีจุดนำสายตา อาจจะเพราะด้วยสีพื้นหลังมันกลืนไปหมด

รีเบ็คกา เฟอร์กูสัน รับบทนางเอกผู้มากความสามารถ

              ฉาก อีธาน ถูกจับ ฉากนี้คิวบู๊ดีครับ เปิดนางเอกของภาคนี้ด้วยความสามารถสุดพริ้ว เป็นคนสวยที่มีสเน่ห์ เป็นอย่างมาก ฉากนี้เสียอย่างเดียวด้วยความไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุดเลยคือ การที่อีกฝ่ายเอาปืน AK-47 หรือ อาก้า มายิงอีธาน ในอุโมงค์ทางตรงแคบๆ แต่กลับไม่ตายซะงั้น!! (เปลี่ยนเอากูไปยิง รับรอง...ไม่มีภาค 6 แน่นอน!) อีธานโดนกระสุนไปไม่รู้กี่นัด (ในฉากเห็นแต่เลือด) แต่ถ้าเอาคนมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธสงครามมาดูจะรู้เลยว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด! กระสุนจำพวกนี้ รูเข้าจะเล็ก รูออกจะใหญ่มาก ชีวิตจริง โดนเข้าช่วงลำตัวรับรองว่าดูไม่จืด สำหรับผม มองว่าถ้าเปลี่ยนเป็นไปหยิบ 9 มม. มาไล่ยิงแล้วยังยิงไม่โดนยังจะดูดีกว่าเสียอีก!

สกิลพระเอก ยิงเท่าไหร่กระสุนก็ติดกำแพง

          ในภาคนี้ความเข้มข้นของหนังดูลดลงไปมาก คือไม่ค่อยกดดัน แต่ออกฮาๆมากกว่า มีมุกมาให้เล่นเรียกเสียงหัวเราะแทบทุกฉาก ขัดกับความรู้สึกที่ว่า เห้ยในอเมริกาไม่มีใครเขาเอาคุณแล้วนะ! แถมวายร้ายก็ยังคอยจะเล่นงานอีก! แต่หนังดำเนินไปแบบเรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้พระเอกต้องหนักใจ ในฉากแก้ปัญหาและขบคิดกันก็ดูวางแผนกันง่ายๆ(แต่ลึกล้ำ) แต่ความไม่สมเหตุสมผลกันเริ่มลดลง

          ฉากที่ผมชอบในภาคนี้ที่สุดคงเป็นฉากที่ต้องเข้าไปเปลี่ยนชิปใต้น้ำและฉากที่ต้องไปเอาไฟล์เสียงนายกรัฐมนตรี ฉากใต้น้ำทำได้ดีมากถ้าฟังดีๆ เสียงเอฟเฟคจะเป็นเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจตลอด แถมมีเสียงน้ำและตัดเสียงอื่นๆออกไปทั้งหมด ให้ความรู้สึกเหมือนกับเราเป็นอีธานในช่วงเวลานั้น

           ฉากต้องไปเอาไฟล์เสียงนายก ยอมรับเลยจริงๆว่าฉากนี้เดาไม่ถูกว่าจะเอามาได้ยังไง มันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายและแก้เผ็ดแก้เกมทำให้อีธานและเพื่อนกลับมาแก้ตัวกับองค์กรได้ในคราวเดียว แถมแอบมีมุกฮาๆในจังหวะที่กำลังสแกนลายมือนายก อย่าง "มือคุณอุ่นจัง" (อ้าวเห้ย!? นายกมึงเป็นเกย์นี่หว่า!!)

           Gadget ของภาคนี้ดูเฉยๆไปมาก "มันดูไม่ Wow!" แบบในภาคก่อนๆ ดังเช่นเทียบกับภาค 4 ที่เป็นถุงมือสูญญากาศ ที่ในฉากค่อนข้างพรีเซนท์พอสมควร แต่สำหรับภาคนี้ชุดวัด Oxygen? กุญแจปลดรหัส? คอนแทคเลนส์สุดล้ำ? ผมว่ามันเฉยๆมากเลยนะมันเหมือนหาได้จากหนังสายลับทั่วไป และที่สำคัญคือ มันไม่พรีเซนท์ถึงความล้ำของGadget!!

           รถล้ำๆฉันหายไปไหน??  ในภาคนี้ผู้สนับสนุนยังคงเป็น BMW ยี่ห้อรถในดวงใจของผม แต่ทว่ารถสุดไฮเทคในภาคนี้นั้นมันไม่ออกมาเลยครับ! แต่มาแทนที่ด้วย BMW M3 รุ่นใหม่ รถตัวใหม่ของ BMW ที่ Body มันดูเป็นรถบ้านๆมากกว่ารถ Sport อาจจะเป็นเพราะ ภาค 4 ได้เปิดตัว BMW i8 Supercar ไปแล้ว จะเอารถทรง Sport กลับมาเล่นมุกเดิมก็กะไรอยู่ ก็เลยเอาเป็นว่าโชว์ความทนทานของรถรุ่นนี้ด้วยการขับลงบันไดมันซะเลย! แถมด้วยการถอยหลังลอยฟ้าลงมารถตีลังกา 5 รอบ แล้วคนนั่งยังไม่ตายก็ถือว่าพอคุ้มค่าสปอนเซอร์ละวะ!!

 BMW S 1000 RR มอเตอไซค์ว่าหล่อแล้ว...แต่คนขี่หล่อกว่า! 

           แต่ทีเด็ดในภาคนี้จริงๆอยู่ในฉากที่การขี่มอเตอไซค์ต่างหาก! ถือว่าตื่นเต้นเร้าใจมาก แถมพี่ทอม ครูซคนเดิมเพิ่มเติมคือแสดงเอง มาขี่โชว์แบบหล่อๆ แถมน่าจะเป็นภาคที่ไล่ล่าด้วยมอเตอไซค์กันนานที่สุดและมันส์ที่สุด! ...แต่สุดท้ายเฮียแกแหกโค้งเพราะนางเอกมายืนกลางถนน กลิ้ง 10 ตลบ แต่เลือดไม่มีซักหยด แถมยังกลับไปนั่งรอที่บาร์แบบชิลๆ บางทีก็ลืมไปว่าเฮียแกเป็นอีธานนึกว่าเป็นกัปตันเมกาตลอดดด

           ภายในเรื่องมีหลายฉากที่เราให้ชวนขบคิดอย่างเช่นในฉากที่นางเอกคุยกับอีธานที่สนามบิน เธอบอกเสนอทางเลือกทางเลือกให้ 3 ทาง และหนทางสุดท้ายคือหนีไปกับเธอ เธอให้เหตุผลว่า ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เราทำไปเท่าไหร่ก็จะต้องมีคนอย่างเลน(ตัวร้าย)ออกมาเรื่อยๆ และอย่างไรต่อให้ไม่มีเราก็ต้องมีคนที่มาทำหน้าที่แทนเราอยู่ดี อีธานแสดงสีหน้าออกมาเหมือนอยากจะตอบข้อ 3 พอมาลองคิดเป็นอีธานแล้วข้อ 3 ก็คงเป็นข้อเสนอที่เขาอยากจะทำมากที่สุดในชีวิต ถ้าลองดูตั้งแต่ภาคแรก กับภารกิจที่เขาได้รับและสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไป

          สิ่งที่ผมผิดหวังสำหรับภาคนี้ก็คือ ตัวร้ายช่างกระจอกเหลือเกิน...ไหนว่าถูกฝึกมาอย่างดี? หลายๆช็อทที่ทำให้ความรู้สึกถึงความสูสีนั้นไม่มีเลย หรืออาจจะเป็นเพราะอีธานและนางเอกโหดเกินไป? ในภาคนี้มันเลยไม่มีจุดที่ว่าอีธานจนมุมอย่างที่สุดเลยแม้แต่ฉากเดียว...

และเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุด
.
.
.
.
.
ก็คือ
.
.
.
.
.
.
"ทำไมมึงไม่จูบกันฟระ!!!"
ผมนี่แทบจะตะโกน "เชี้ยยยย" ให้ลั่นโรง ไอ้การ friend hug นี่มันคืออะไร!? มันไม่ถูกต้อง!!! ( T ^T)

สรุปความน่าดู (8.5/10)

ถึงแม้ว่าผมจะบ่นไปอย่างเยอะแต่เอาจริงๆแล้วภาคนี้ไม่ถึงกับว่ามันห่วย มันดีด้วยซ้ำ แต่ถ้าให้เทียบกับภาคก่อนๆ ความหนักหน่วง ความซีเรียสของเนื้อเรื่อง ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่มันถูกแทนที่ด้วยมุกสนุกๆที่แอบเนียนๆมาในบท ทำเอาหัวเราะหรือยิ้มได้ตลอดทั้งเรื่อง แถมเนื้อเรื่องปั่นหัวคนดูให้คิดได้ตลอดว่าจริงๆแล้วภารกิจจริงหรือลวงและใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกันแน่!? แผนอันเหนือชั้นที่คุณดูแล้วต้องอึ้ง สมกับเป็น Mission Impossible และความพริ้วไหวของนางเอกในภาคนี้ ก็ชวนให้หนังดูสนุกสนาน บทตัวละครต่างๆก็ดี ไม่หนักไปที่อีธานคนเดียว เอาเป็นว่าใครยังไม่ดูก็ไปดู ส่วนใครดูแล้วก็มาติชมกันตรงนี้แหละครับ :)







วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรามาถึงจุดนี้ได้ไงวะ...


เรามาถึงจุดนี้ได้ไงวะ...
จุดที่เราใกล้จบเป็นนายตำรวจแล้ว!

ระยะทาง 7 ปี จะว่ายาวนาน มันก็นานเสียเหลือเกิน
แต่พอมองย้อนกลับไป มันก็สั้นเสียเหลือเกิน

กะพริบตา 3 ครั้งจบ เตรียมทหาร
กะพริบตาอีก 4 ครั้ง จบ นายร้อยตำรวจ

จากเด็กที่ไม่เคยรู้จักนักเรียนนายร้อย
ไม่เคยคิดที่อยากจะเป็น...

...เรามาไกลแค่ไหนแล้ว?...

เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
ถามตัวเองเสมอว่าพร้อมหรือยังที่จะจบออกไปทำงาน?

...คำตอบก็คือไม่เลย...

But the show must go on.

ชีวิตมันก็ต้องเดินไปเรื่อยๆ 
แม้ว่าเราจะยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับเหตุการณ์บางอย่าง
แต่มันก็ต้องปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นแหละ

หลายครั้งที่เราต้องเจ็บ
ก็เพื่อให้เราเรียนรู้ว่าจะไม่เจ็บแบบเดิมอีก

หนังสือบางเล่มบอกมาอย่างนั้น...

ตอนนี้มันใกล้ถึงเวลาที่เราจะได้ออกไปเจ็บจริงๆแล้ว
เวลาที่เหลืออยู่ 
เราก็ทำได้เพียงแค่ต้องเตรียมตัวให้ดีกว่าเดิม

"เพื่อที่จะออกไป ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

สนทยา 52








มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง? เป็นคนชอบเที่ยว แต่ไม่ชอบกินเหล้า!

     

            คนรอบข้างหลายคนชอบคิดเสมอว่าผมมันเป็นคนชอบเที่ยวชอบไปกินเหล้า
ซึ่งจริงๆแล้วมันถูกก็เพียงครึ่งเดียว... ผมเป็นคน ชอบเที่ยว ครับ
แต่พอผมบอกออกไปว่า "เห้ย จริงๆผมไม่ใช่คนกินเหล้านะ"
คนที่ได้ยินก็มักจะบอกว่า "อมพระมาพูด -ู ก็ไม่เชื่อ  -ึง หรอก!"

          ตอนเด็กๆ 3-4 ขวบ ผมมักจะโดนแกล้งจาก ลุงๆน้าๆ ที่บ้านเป็นประจำ ว่าไอ้ที่แกกินนะเป็นโค้ก
แล้วแกก็ยื่นมาให้กิน แต่พอลิ้นผมสัมผัสกับรสชาติมันเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องบ้วนออกไปทุกครั้ง
เหล้าสำหรับผม มันขมเสมอ แถมมันไม่ได้อร่อยเลยซักนิด และที่ผมเกลียดที่สุดคือการถูกแกล้งว่ามันเป็นโค้ก!
ผมเลยสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่กินมันอีกต่อไป

           จนกระทั่งผมสอบเข้าเตรียมทหาร ความกังวลในเรื่องการกินเหล้ามันก็เพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะการกินเหล้ามันเป็นเหมือนวัฒนธรรมและการเข้าสังคมของทหาร-ตำรวจ(กลุ่มใหญ่) มันเป็นสิ่งที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย...
ผมเคยถามกับ หน.มว. ผมตอนสมัยเป็นนักเรียนใหม่ว่า มันจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะไม่กินเหล้า

...คำตอบก็คือ ไม่...

เพราะทุกคนต้องถูกรับน้องด้วยการกินเหล้าแทบจะทั้งสิ้น
ผมใช้ชีวิต 1 ปี ของการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ที่เชิงอย่างที่สุด
ไม่ว่าใครจะส่งแก้วเหล้ามาให้ผมก็ต้องทำท่าเป็นกิน เททิ้ง หรือเปลี่ยนเป็นโค้กอยู่ตลอดเวลา

จนมาถึงวันหนึ่งที่ผมเลี่ยงไม่ได้
พี่ชั้นปีที่ 3 กำลังจะจบจาก โรงเรียนเตรียมทหารเพื่อไปขึ้นเหล่า
พี่ชายสายรหัสที่คอยดูแลผมมาตลอด เรียกผมเข้าไปคุยในคืนสุดท้ายก่อนขึ้นเหล่าของพี่
พี่ผมยื่นแก้วกาแฟแก้วใหญ่มาให้ผม ในนั้นบรรจุไปด้วย เพียว 285 เต็มๆแก้ว
ผมไม่อาจปฎิเสธพี่ชายคนนี้ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับเพื่อนหลายๆคนในเรื่องการกินเหล้าเพียวขนาดนี้

แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เลย

พี่บอกผมว่า "หมดรวดเดียวเลยนะ"
ผมใช้เวลาตัดสินใจซักแปปหนึ่ง แล้วกระดกมันขึ้นไป
ความร้อนของมันไม่อาจทำให้ผมกินไปได้รวดเดียวหมด
"พี่ครับเอาจริงๆแล้ว ผมกินไม่เป็น" ผมบอกกับพี่
พี่ผมไม่เชื่อและบอก อย่าเชิงๆ แบบตลกๆ
ผมกระดกอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ และพูดได้เลยว่าผมรู้จักกับความเมาเป็นครั้งแรก!
ผมมึนไปทั้งคืน แถมคืนนั้นมีปลุกหลังจากที่ผมนอนไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง!
แต่ยังดีที่พี่ยังคอยตามมาเซฟผม เพราะรู้ว่าผมน่าจะเมาไม่ไหวแล้ว

          หลังจากคืนนั้นผมผิดคำสัญญากับตัวเองครั้งแรก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมชอบกินหรอกนะ
แต่มันทำให้ผมรู้ว่าผมเมาแล้วเป็นอย่างไร คุมสติยังไง ลิมิตอยู่ที่ไหน
หลังจากนั้นผมก็เที่ยวกับเพื่อนบ่อยขึ้น เนื่องจากขึ้นเป็นชั้นปีที่ 2 แล้ว
ผมไปเที่ยวเอาสนุกและเกลียดการเมาเหมือนเคย
ผมมีความสุขที่ได้อยู่ในหมู่เพื่อนฝูง พูดคุย ตลกเฮฮาและเต้น
แต่เรื่องเหล้าผมยังเชิงเหมือนเดิม... ผมไม่แคร์ถ้าใครจะคิดว่าเวลาหารเงินแล้วมันไม่คุ้ม
ผมคิดเสมอว่าผมจ่ายเงินไปเพื่อเอาเวลาอยู่กับความสุขและสนุกในหมู่เพื่อนฝูง
แต่ถ้าใครที่สังเกตผมดีๆว่าผมไม่กินและชอบมายัดหรือชนกับผมอยู่เรื่อย ผมก็มักจะเลี่ยง
เอาจริงๆผมชอบเห็นเวลาเพื่อนเมา การคุยกับคนเมาเป็นอะไรที่สนุกมากสำหรับผม
มันมักจะมีเรื่องตลกเสมอเมื่อมีคนเมา... ซึ่งนั่นต้องไม่ใช่ผม!

"ให้คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน"
Mom said.

เกลียดโมเมนท์นี้ที่สุด!!